อัปเดต 'พระศรีสัจญาณมุนี' รองเจ้าคณะจังหวัด - ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ คดีฉาว
ล่าสุดอัปเดต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มจร. แจง 'พระศรีสัจญาณมุนี' รองเจ้าคณะจังหวัด - ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ ปมฉาวต้องคดีเข้าป่าล่าสัตว์
กรณีข่าวดังของ พระศรีสัจญาณมุนี รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ และผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ นั้น
ล่าสุด พระราชวัชรสารบัณฑิต, รศ.,ดร. (ประสาร จนฺทสาโร) รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร. โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า มหาวิทยาลัยได้รับรายงานจากพระศรีสัจญาณมุนี แล้ว
จากกรณีที่ปรากฎข่าวตามสื่อต่างๆว่ามีพระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปล่าสัตว์ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ และปรากฎชื่อ พระศรีสัจญาณมุนี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร. รวมอยู่ด้วยนั้น
ขณะนี้อาตมาได้ดำเนินการให้พระศรีสัจญาณมุนี รายงานข้อเท็จจริงให้มหาวิทยาลัยทราบโดยไม่ชักช้า บัดนี้มหาวิทยาลัยได้รับหนังสือรายงานจากพระศรีสัจญาณมุนี แล้วในส่วนที่ถูกกล่าวหานั้นทุกรูปได้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจแล้ว
ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ให้ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้นก็จะดำเนินการรวบรวมหลักฐานจากสามฝ่ายคือ
- จากกรมอุทยานฯในฐานะผู้กล่าวหา
- จากพระศรีสัจญาณมุนี ผู้ถูกกล่าวหา
- จากผู้คนแวดล้อม รวมทั้งจากสื่อมวลชนต่างๆด้วย
เพื่อจะได้จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากหลักฐานจากทั้งสามส่วนนั้นแล้วก็จะได้ประสานกับสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย ในฐานะที่มีภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์
และในขณะเดียวกันโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้ให้ข่าวยืนยันข้อเท็จจริงในบางเรื่อง บางประเด็นโดยอ้างจากรายงานของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิด้วย
ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง อะไรเป็นเรื่องของกฎหมายก็ดำเนินการไป อะไรที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยก็ดำเนินการไปโดยไม่ชักช้า ตอบสังคมให้ได้ นี่คือคำตอบในเรื่องนี้
ค้นหาความจริงพระเดินป่าล่าสัตว์?
อีกทั้ง เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ เจ้าคุณประสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า มจร ชี้แจงกรณีพระเดินป่าล่าสัตว์
จากกรณีที่มีข่าวปรากฎตามสื่อต่างๆว่า พระศรีสัจญาณมุนี หรือ พระมหาสุมินทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร และคณะได้ออกเดินป่าล่าสัตว์ในบริเวณเขตรัษาพันธ์ุสัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างกว้างขวางนั้น
ในกรณีดังกล่าว อาตมาในฐานะรองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มจร ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ตามภาระงานนั้นๆ เห็นว่า ในเรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความสำคัญและเข้าใจในประเด็น
- พระธรรมวินัย
- ข้อกฎหมาย
- ความเหมาะสม
- เสียงสะท้อนของผู้คนผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย
ฐานะที่พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) เป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยสงฆ์และปรากฎเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจในเวลานี้นั้น
อาตมาได้พยายามติดต่อโดยตรงกับท่าน และล่าสุดได้เรียกผู้บริหารวิทยาลัยสง์ชัยภูมิมาพูดคุยกันที่ส่วนกลางแล้ว จึงมีประเด็นที่จะได้สื่อกับผู้คนที่ติดตาม ดังนี้
1.พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) นั้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร จริงและตลอดเวลาหลายปี หลายสมัยที่ดำรงตำแหน่งมาท่านได้ทำงาน
- สนองงานรับใช้พระพุทธศาสนา คณะสงฆ์และมหาวิทยาลัยด้วยความเรียบร้อย
- ท่านได้เสียสละเพื่อมหาวิทยาลัยจนมีผลงานเป็นที่ปรากฎ ภาพวันนี้วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิก็เจริญก้าวหน้าตามลำดับ นี่ในส่วนภาระหน้าที่ที่ผ่านมา
2.ในกรณีการกระทำที่กำลังตกเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น ในส่วนของกฎหมายก็ต้องว่ากันไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงตามที่อธิบดีกรมอุทยานฯได้รับรายงานและให้นโยบายในการดำเนินการไปแล้ว
ในส่วนของพระธรรมวินัยนั้น เมื่อมีเรื่อง มีกรณีของพระสงฆ์เกิดขึ้นไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ ก็ตาม
ซึ่งในกรณีนั้น ๆ มีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมืองด้วยและในขณะเดียวกันในเวลานั้นในฝ่ายบ้านเมือง โดยกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนเป็นต้นไปจนถึงชั้นศาลสถิตยุติธรรมกำลังดำเนินการตามภาระหน้าที่อยู่นั้น
ในทางปฎิบัติของคณะสงฆ์ในฝ่ายปกครองที่สูงขึ้นไปที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงก็จะต้องรอกระบวนการยุติธรรมให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะกลับมาตั้งคณะกรรมการสงฆ์พิจารณาตามหลักพระธรรมวินัย ต่อไป
3. ในส่วนของมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร นั้น ในขณะนี้ได้รับรายงานจากวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิในข้อมูลบางส่วนในเบื้องต้นแล้วและขณะนี้ก็ได้สั่งให้มีการรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดโดยไม่ชักช้ามายังมหาวิทยาลัย เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
ถึงอย่างไรก็ตาม ขณะนี้สังคมเราได้รับทราบข้อมูลเพียงหนึ่งด้านในอีกด้านหนึ่งนั้น ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีตำแหน่งทั้งทางปกครอง ทางการศึกษาอยากให้ทุกฝ่ายได้ใช้สติในรอข้อมูลอีกฝ่ายเพื่อประกอบการพิจารณา
ขณะเดียวกันข้อมูลอีกฝ่ายก็จะต้องเร็วและทันต่อสถานการณ์ เพื่อจะได้ไม่ให้ข่าวที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้นั้นไปกันใหญ่ ไปไกลและเสียหายไปมากกว่านี้ ในส่วนของสงฆ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องกันจนไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ไม่ได้เหยียบย่ำซ้ำเติมกันในทันทีทันใดโดยปราศจากข้อเท็จจริง
ดังนั้น ข้อเท็จจริงทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายจะเป็นคำตอบและบทสรุปในเรื่องนี้ตามหลัก อธิกรณสมถะ 7