เปิด 5 มาตรการ คุม 'ปลาหมอคางดำ' หลังระบาดหนัก กรมประมง มั่นใจเอาอยู่ใน 3 ปี

เปิด 5 มาตรการ คุม 'ปลาหมอคางดำ' หลังระบาดหนัก กรมประมง มั่นใจเอาอยู่ใน 3 ปี

เปิด 5 มาตรการ ควบคุม "ปลาหมอคางดำ" หลังระบาดหนัก 16 จังหวัด กรมประมง มั่นใจเอาอยู่ใน 3 ปี ปล่อยปลาผู้ล่าแล้ว 226,000 ตัว ลงแหล่งน้ำธรรมชาติใน 7 จังหวัด

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของ"ปลาหมอคางดำ"ในประเทศไทยซึ่งพบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 และมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในพื้นที่ภาคกลาง เมื่อต้นปี 2567 ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี

สำหรับ สถานการณ์ปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเพิ่มในบางพื้นที่ของ 9 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพรสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และได้รับการแจ้งว่ามีการระบาดเพิ่มอีก 2 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม และนนทบุรี รวมทั้งสิ้นเป็น 16 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาด

ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดเป็นวาระเร่งด่วนแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำขึ้น และได้ออก 5 มาตรการสำคัญ

เปิด 5 มาตรการ ควบคุม "ปลาหมอคางดำ"

มาตรการที่ 1. การควบคุมและกำจัด ปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด

กรมประมง พร้อมแก้ไขกฎหมายซึ่งเป็นอุปสรรคในการใช้เครื่องมือประมงที่เหมาะสมเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำ โดยมีการสำรวจข้อมูลการใช้เครื่องมือประมงที่ใช้ในการกำจัดปลาหมอคางดำ และได้มีการประกาศการอนุญาตผ่อนผันใช้เครื่องมือประมงอวนรุน ตามประกาศกรมประมง

ขณะเดียวกันได้เปิดช่องทางให้จังหวัดที่มีความต้องการขออนุญาตผ่อนผันการใช้เครื่องมือประมงเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำ เสนอเรื่องผ่านมติที่ประชุมคณะทำงานฯ มายังกองบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดมาตรการ เพื่อประกาศ ผ่อนผัน ตามเงื่อนไขและความเหมาะสม นอกจากนี้ กรมประมงภายใต้การสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส  พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมเตรียมแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการกำหนดเครื่องมือที่ใช้ทำการประมง เพื่อกำจัดปลาหมอคางดำขึ้น สำหรับอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการขอใช้เครื่องของประมงพื้นบ้าน โดยกรมประมงได้ประสานความร่วมมือกับองค์กรประมงท้องถิ่น ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการควบคุม กำจัด ปลาหมอคางดำในทุกพื้นที่แพร่ระบาด

 

มาตรการที่ 2. การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ

โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง โดยกรมประมงได้ปล่อยลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าทั้งปลากะพงขาวปลาอีกง และอื่นๆ ไปแล้วจำนวนกว่า 226,000 ตัว ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี กรุงเทพมหานคร ราชบุรี และสงขลา และยังมีโครงการ จะปล่อยอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ กรมประมงขอยืนยันว่า ปลาหมอคางดำขนาดโตเต็มวัย ไม่สามารถกินลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าขนาด 4 นิ้วที่ปล่อยลงไปได้ และลูกพันธุ์ปลาผู้ล่าเหล่านี้สามารถกินลูกปลาหมอคางดำ ขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตรเพื่อควบคุมประชากรที่มีปริมาณมากได้ โดยกรมประมงจะเลือกพันธุ์ปลาผู้ล่าและพื้นที่การปล่อย รวมถึงจำนวนการปล่อยให้เหมาะสมกับระบบนิเวศของพื้นที่ที่สุด

มาตรการที่ 3. การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์

กรมประมงได้ประสานสมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย ในพื้นที่สมุทรสาครจำหน่ายให้กับโรงงานปลาป่น 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด ราคากิโลกรัมละ 10 บาท ได้รับการจัดสรรโควตา 500,000 กิโลกรัม (500 ตัน) จำหน่ายไปแล้ว 491,687 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 4,916,870 บาท และบริษัทอุตสาหกรรมปลาป่นท่าจีน จำกัด รับซื้อราคากิโลกรัมละ 7 บาท แบบไม่จำกัดโควตา โดยมีการรับซื้อปลาหมอคางดำจากพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง คือ กรุงเทพมหานครและราชบุรี รวมปริมาณการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำส่งโรงงาน เพื่อผลิตปลาป่น 510,000 กิโลกรัม มูลค่า 5,022,000 บาท และกรมประมงได้ร่วมกับกรมพัฒนาที่ดิน (สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 10) จัดโครงการรณรงค์การทำน้ำหมัก ชีวภาพคุณภาพสูง (สูตรไนโตรเจนสูง) รับซื้อปลาหมอคางดำราคากิโลกรัมละ 7 - 8 บาท

นอกจากนี้ เครือข่ายภาคประชาชนมีการนำปลาหมอคางดำที่จับจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ โดยมีแหล่งรับซื้อปลาหมอคางดำ ได้แก่ แพรับซื้อปลาขนาดเล็กเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์ (ปลาสด) เพื่อใช้เป็นปลาเหยื่อเลี้ยงสัตว์น้ำและปลาเหยื่อลอบปู ที่สำคัญ กรมประมงจะเร่งหาพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มช่องทางการรับซื้อ และศึกษาวิจัยประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของปลาหมอคางดำ เพื่อนำไปใช้สานต่อในอนาคต

มาตรการที่ 4. การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชน

กรมประมง ได้ดำเนินการจัดทำระบบแจ้งตำแหน่งการพบปลาหมอคางดำในรูปแบบออนไลน์สำหรับประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบบริเวณที่มีการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำโดยประชาชนสามารถแจ้ง เบาะแสพิกัดที่พบการแพร่กระจาย ของปลาหมอคางดำได้ที่ (คลิก) เพื่อเป็นข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจ ติดตามและ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

มาตรการที่ 5. การสร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ

กรมประมงจัดให้มีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากหน่วยงานระดับจังหวัด ได้มีคณะทำงานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำแล้ว สำนักงานประมงจังหวัดทั้ง 16 จังหวัด (ระบาด 14 จังหวัดและกันชน 2 จังหวัด) ดำเนินการจัดกิจกรรมการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ตื่นตัว ซึ่งได้รับ ความสนใจอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การดำเนินงานจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ในเดือนกรกฎาคม 2567 อาทิ วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 จังหวัดเพชรบุรีมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาหมอ คางดำ ได้แก่ ปลาส้ม ปลาแดดเดียวและน้ำปลา

นอกจากนี้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีแล้วใน เบื้องต้นจะใช้เงินจากกองทุน​สงเคราะห์​การทำ​สวนยาง​ ในระหว่างที่รอของบกลาง และได้สั่งการเร่งด่วนมายังอธิบดีกรมประมงให้เร่งจัดจุดรับซื้อ ปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ภายใน 1 สัปดาห์ ในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับประชาชน ในการมีส่วนร่วมควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด

สำหรับกระแสสังคมที่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องต้นตอของการแพร่ระบาดอย่างหนักของปลาหมอคางดำในขณะนี้ กรมประมงขอชี้แจงว่า ปลาชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา และได้มีการขออนุญาตนำเข้ามาในประเทศไทย อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อวิจัยปรับปรุงพันธุ์จากบริษัทแห่งหนึ่ง(ซีพีเอฟ) ซึ่งในขณะนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้นำสัตว์น้ำบางชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2547 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบเรื่องสุขอนามัยของสัตว์น้ำที่ผู้นำสัตว์น้ำทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นการควบคุมโรคสัตว์น้ำมิให้มีแพร่การระบาด

ดังนั้นหากภาคเอกชนใดต้องการนำเข้ามาในประเทศ ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่โดยผ่านการพิจารณาให้ความเห็นทางวิชาการจากคณะกรรมการระดับสถาบันด้านความปลอดภัยและความหลากหลายทางชีวภาพของกรมประมง (IBC) และเมื่อได้รับอนุญาตนำเข้าแล้ว เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์น้ำกรมประมง จะดำเนินการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าสัตว์น้ำนั้นจนสู่แหล่งทดลองที่ได้รับการอนุญาต นั่นคือกระบวนการที่บริษัทดังกล่าวดำเนินการขออนุญาตอย่างถูกต้องเพื่อนำเข้ามาวิจัยปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้นำสัตว์น้ำบางชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบเรื่องสุขอนามัยของสัตว์น้ำเป็นหลัก ซึ่งภายหลังบริษัทดังกล่าวฯ ยกเลิกการทำวิจัยและไม่ได้แจ้งต่อกรมประมงในการจัดการทำลายตัวอย่างตามเงื่อนไขที่กรมประมงกำหนด ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่เลี้ยงของบริษัทในช่วงพบการแพร่ระบาดในปี 2560 ของเจ้าหน้าที่กรมประมง จึงได้รับรายงานว่าได้ทำลายตัวอย่างทั้งหมดโดยการฝังกลบ

จากที่เป็นประเด็นในสื่อต่าง ๆ ว่ากรมประมงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปรับตัวอย่างปลาหมอคางดำที่ใช้ในการวิจัยจากบริษัทดังกล่าวที่ฟาร์ม จำนวน 50 ตัวอย่าง และต้องการให้กรมประมงนำตัวอย่างดังกล่าวมาตรวจสอบว่ามี DNA ตรงกับปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ กรมประมงได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานการรับมอบตัวอย่างในสมุดลงทะเบียนรับตัวอย่างและฐานข้อมูลในระบบ ตั้งแต่ที่มีการนำเข้าจนถึงปี 2554  ไม่พบหลักฐานการรับตัวอย่างและขวดตัวอย่างดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้มีข้อสั่งการอย่างเร่งด่วนให้กรมประมงแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ หากกรมประมงพบหลักฐานใด ๆ เพิ่มเติม จะเร่งดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการเพื่อหาต้นตอ และหาข้อเท็จจริงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม

สำหรับปัจจุบันการป้องกันการรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นกรมประมงได้มีการบังคับใช้กฎหมายภายใต้มาตรา 64 และมาตรา 65 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปลาหมอคางดำเป็น 1 ใน 13 ชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ห้ามนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน เพาะเลี้ยง หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง

อนึ่ง มาตรา 144 ได้กำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 65 วรรคสอง ต้องระหว่างโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดนำสัตว์น้ำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จะเห็นได้ว่ากระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้มีการปรับปรุงกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรที่สำคัญ ในระยะยาวกรมประมงจะนำ “โครงการวิจัย การเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n  ในปลาหมอคางดำ”            

โครงการดังกล่าวฯ กรมประมงได้มีแนวทางในการควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำด้วยหลักการทางพันธุศาสตร์ โดยการศึกษาสร้างประชากรปลาหมอคางดำพิเศษที่มีชุดโครโมโซม 4 ชุด (4n) จากนั้นจะปล่อยปลาหมอคางดำพิเศษเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำเพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำปกติที่มีชุดโครโมโซม 2 ชุด (2n) การผสมพันธุ์นี้จะทำให้เกิดลูกปลาหมอคางดำ ที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด (3n) ซึ่งลูกปลาที่มีโครโมโซม 3 ชุดนี้จะกลายเป็นปลาหมอคางดำที่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้

ในเบื้องต้นของการศึกษานี้จะทดลองในบ่อทดลองเลียนแบบธรรมชาติภายในศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี และจะทยอยปล่อยอย่างน้อย 250,000 ตัว ภายในระยะเวลา 15 เดือน (กรกฎาคม 2567 - กันยายน 2568) คาดว่าสามารถเริ่มปล่อยพันธุ์ปลาได้อย่างช้าสุดในเดือนธันวาคม 2567 อย่างน้อยจำนวน 50,000 ตัว และเมื่อดำเนินการควบคู่กับวิธีการควบคุมอื่น ๆ เช่น การใช้ปลาผู้ล่า และการจับปลา ไปใช้ประโยชน์ ก็จะส่งผลให้การเพิ่มจำนวนปลาหมอคางดำรุ่นใหม่ลดลงจนสามารถควบคุมการระบาดได้ในอนาคต ภายใน 3 ปี