โดนแล้ว! เพื่อน GUN สำคัญเสมอ บุกทลายคลังแสงปืนเถื่อนกลางกรุง จับเฮียกิ๊บ

โดนแล้ว! เพื่อน GUN สำคัญเสมอ บุกทลายคลังแสงปืนเถื่อนกลางกรุง จับเฮียกิ๊บ

ตำรวจเล่นจัดเต็ม โดนแล้ว! เพื่อน GUN สำคัญเสมอ บุกทลายคลังแสงปืนเถื่อนกลางกรุง จับเฮียกิ๊บพร้อมยึดปืน 19 กระบอก

กรณีกลุ่มเพื่อน GUN สำคัญเสมอ ตำรวจบุกทลายคลังแสงปืนเถื่อนกลางกรุง ลุยจับเฮียกิ๊บพร้อมยึดปืน 19 กระบอก

การเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวโดยปัจจุบันสถิติอาชญากรรมที่มีการใช้นำอาวุธปืนไปก่อเหตุในลักษณะอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายมีเพิ่มมากอาทิ เหตุกราดยิง นักศึกษาช่างนำอาวุธปืนไปใช้ยิงคู่อริ  ซึ่งหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความพยายามสืบสวนขยายผลจนทราบว่าผู้ก่อเหตุซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเพื่อมาก่อเหตุผ่านช่องทางออนไลน์  จนชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบนครบาลออกแกะรอยสืบสวนจนพบ บุคคลซึ่งเคยมีประวัติเคยถูกจับกุมในความผิดฐานเกี่ยวกับการลับลอบจำหน่ายอาวุธปืนผิดกฎหมายให้กลุ่มผู้ซื้อผ่านกลุ่มลับผ่านเพจกิ๊ฟประธาน ลิ้นซิ้งไง ทางออนไลน์ ซึ่งต้องรีบสืบสวนจับกุมให้ได้โดยเร็ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 25672567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้สืบสวนจนทราบว่า นายโชติธนภัทร์ หรือกิ๊บ อายุ 39 ปี  เป็นบุคคลที่เคยมีประวัติคดี

เคยถูกจับกุมในความผิดฐาน

  • มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปีนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต

ประกอบกับข้อมูลการข่าวจากสายลับให้ข้อมูลว่าปัจจุบัน นายโชติธนภัทร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ของคดีที่ถูกจับกุมเกี่ยวกับอาวุธปืนล่าสุด หลังได้รับการประกันตัวก็ยังคงกลับมามีพฤติกรรมลับลอบกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวอยู่เช่นเดิม จึงได้ทำการสืบสวนเหาสถานที่หลบซ่อนตัวในการก่อเหตุปัจจุบันของนายโชติธนภัทร์ 

จนเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนทราบว่านายโชติธนภัทร์ หลบหนีมาเช่าห้องพักอาศัยอยู่ที่โครงการเอื้ออาทรลาดกระบัง 2  ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยมีการนำรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ของมารดาตนมาใช้เพื่ออำพรางการกระทำความผิด

และเพื่อความสะดวกในการลักลอบกระทำความผิดอยู่เช่นเดิม  เจ้าหน้าที่ได้พบตัวนายโชติธนภัทร์ ขณะกำลังเดินอยู่บริเวณลานจอดรถหน้าอาคาร โครงการเอื้ออาทรลาดกระบัง 2 ปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจสังเกตเห็นว่านายโชติธนภัทร์  มีอาการประหม่าและตกใจผิดปกติ

จึงได้สอบถามและขอทำการตรวจค้น ปรากฏนายโชติธนภัทร์ รับว่าปัจจุบันตนยังคงลักลอบมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และยังคงทำ ประกอบ ซ่อมแซม จำหน่ายซึ่งอาวุธปีน และเครื่องกระสุนปืนให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์อยู่เช่นเดิม

พร้อมกับยอมรับว่า ภายในรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ที่ตนยืมมารดามาใช้ มีอาวุธปืนบีบีกันที่ตนเพิ่งจะไปซื้อและไปทำการประกอบ ดัดแปลงให้สามารถยิงด้วยกระสุนจริงขนาด .38 ได้ พร้อมเครื่องมือในการประกอบ ดัดแปลง ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระโปรงหลังรถ  

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ให้ นายโชติธนภัทร์ นำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปตรวจสอบที่รถยนต์คันดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบ อาวุธปืนบีบีกันดัดแปลง ยี่ห้อ วินกัน ขนาด .38 จำนวน 5 กระบอก พร้อมอุปกรณ์ในการดัดแปลงซุกซ่อนอยู่ท้ายรถ จากนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว นายโชติธนภัทร์ ขึ้นไปตรวจสอบภายในห้องพัก ของอาคาร 64 โครงการเอื้ออาทรลาดกระบัง 2

ปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ อาวุธปืนหักลำไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 spl จำนวน 12 กระบอก , พบอาวุธปืนลูกซองหักลำไทยประดิษฐ์ เบอร์ 20 จำนวน 1 กระบอก , อาวุธปืนลูกซองหักลำไทยประดิษฐ์ เบอร์ 410 จำนวน 1 กระบอก ซุกซอนอยู่ในตู้ห้องครัวระเบียงด้านหลังห้องพัก รวมอาวุธปืนทั้งหมด 19 กระบอก อีกทั้งเครื่องกระสุนปืนขนาด .22 , .38 , .380 , กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 , กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 20 รวมจำนวน 155 นัด , ชิ้นส่วนโม่ปืน จำนวน 9 โม่ , ลำกล้องอาวุธปืน ขนาด .38 จำนวน 12 ลำ ตลอดจนชิ้นส่วนประกอบอาวุธปืนอื่นๆ และอุปกรณ์การแพ็กส่งขาย รวมกว่า 20 รายการ 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อ นายโชติธนภัทร์ ว่าต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ฐาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มี หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปีนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต

สถานที่จับกุม บริเวณลานจอดรถหน้าอาคาร 64 โครงการเอื้ออาทรลาดกระบัง 2 ต่อเนื่องภายในห้องพัก ชั้น 2 โครงการเอื้ออาทรลาดกระบัง 2 ถนนประชาพัฒนา แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

จากการซักถามนายโชติธนภัทร์ ให้การว่าตนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผ่านการศึกษานอกโรงเรียน เดิมทีทำงานเป็นฝ่ายผลิตของโรงงานผลิตยางรถยนต์ชื่อดังประมาณ 10 ปี ต่อมาช่วงประมาณปี 2561 ด้วยความที่ตนเป็นคนชอบเครื่องอาวุธปืนเป็นการส่วนตัว จึงได้ลองซื้อปืนลูกซองหักลำมาเก็บไว้

ต่อมาตนรู้สึกเบื่อปืนลูกซองหักลำจึงนำปืนไปลองโพสต์ขายผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวของตน เพื่อหาเงินไปสั่งซื้อปืนแบงค์กันดัดแปลงมาใช้แทน จนขายได้ อีกทั้งการขายในครั้งนั้นตนตั้งราคาที่สูงกว่าตอนที่ตนสั่งซื้อมาแต่แรกจึงรู้ช่องทางที่จะหากำไรจากการขายปืนผิดกฎหมายนี้  จึงเริ่มต้นจากการสั่งซื้อมาขายไปฯ และพัฒนาจากสั่งทีละกระบอกจนมาเป็นสั่งมาครั้งละ 70 ถึง 100 กระบอก จนมีรายได้กว่าเดือนละกว่าสองถึงสามแสนบาท จนมาถูกจับกุมเมื่อปี 2562 ในความผิดฐาน “ ทำ ประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มีหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” ท้องที่ สภ.วังน้อย  ครั้งนั้น รับโทษจำคุก 2 ปี  เมื่อพ้นโทษออกมาได้หันมาทำไร่ทำสวน แต่ก็ยังแอบสั่งซื้ออาวุธปืนเพื่อมาไว้ใช้ป้อนกันตัว

ก่อนที่ปี 2564 จะมาถูกจับกุมตัวในความผิดฐาน “ มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และโดยไม่ได้รับอนุญาต ” ท้องที่ สภ.บึงสามพัน ครั้งนี้ รับโทษจำคุก 12 เดือน หลักพ้นโทษ ตนไม่มีงานทำ เนื่องจากตนยังมีอาวุธปืนที่ซุกซ่อนอยู่ในบ้านอีก 1 กระบอก จึงได้โพส์ตขายผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล่อซื้อและถูกจับกุมตัวในความผิดฐาน “ จำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนให้แก่ผู้ที่มิได้รับใบอนุญาตให้ซื้อหรือมีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ” ท้องที่ สภ.จอหอ คดีอยู่ระหว่างประกันตัวชั้นอุทธรณ์ 

หลังจากได้รับการประกันตัว เนื่องจากตนไม่รู้จะทำอาชีพอะไรที่จะหาเงินได้เร็ว ประกอบกับรู้สึกว่าตนมีประสบการณ์จากการถูกจับกุมตัวบ่อยครั้ง จึงกลับมาลักลอบจำหน่ายอาวุธปืน ดัดแปลงอาวุธปืนบีบีกันให้สามารถยิงด้วยกระสุนปืนขนาด .38 ได้ ให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งตนได้สร้างเฟสบุ๊กขึ้นมาเพื่ออำพราง และยังตั้งชื่อในลักษณะกลุ่มแทนตนเองเพื่อให้สมาชิกที่เคยสั่งซื้ออาวุธปืนกับตนรู้จัก โดยตั้งตนเองเป็นประธานกลุ่ม และได้มีการขายเสื้อผ่านเฟสบุ๊กที่ตนมีการโพสต์ประกาศขายปืนด้วยในคราวเดียวกัน จนมาถูกจับกุมตัวในครั้งนี้  
 

ที่ผ่านมา หลังจากที่ตนได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์และกลับมาลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนอีก ตนเองมียอดการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนเฉลี่ยเดือนละประมาณ 30 ถึง 50 กระบอก ได้กำไกรเฉลี่ยนกระบอกละ 1,500 ถึง 2,000 บาท มีรายได้ต่อเดือนเดือนละประมาณ 60,000 ถึง 100,000 บาท

 

เงินที่ได้มาจากการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนผิดกฎหมายนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เที่ยวเตร่ และเปลี่ยนสถานที่พักเพื่อหลบหนีจากการถูกสืบสวนจับกุมจากเจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางที่เกี่ยวข้องกับคดี นำส่ง พงส.สน.จรเข้น้อย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า อาวุธปืนที่ตรวจค้นพบนั้น เป็นต้นตอที่คนร้ายจะนำไปก่อเหตุอาชญากรรมต่างๆ  ส่งผลร้ายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ในสังคมได้ ส่วนผู้ที่ลักลอบขายอาวุธปืนนั้นหากซื้อขายอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000-40,000 บาท หากประชาชนมีเบาะแสการลักลอบขายปืน สามารถติดต่อแจ้งมาได้ที่เพจ สืบนครบาล IDMB ได้ตลอดเวลา