เตือนสายแคมป์ปิ้ง ระวังตัวไรอ่อน ถูกกัดเสี่ยงป่วย "ไข้รากสาดใหญ่" ดับแล้ว 4
เตือน สายแคมป์ปิ้ง เดินป่า ผู้ทำงานภาคเกษตร ระวังตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงป่วย "โรคไข้รากสาดใหญ่" พบเสียชีวิตแล้ว 4 ราย เช็ก 10 จังหวัดป่วยสะสมมากสุด
เข้าสู่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวหน้าหนาว ปี 2567 กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข เตือนสายแคมป์ปิ้ง เดินป่า ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม ระมัดระวัง โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) หรือ "โรคไข้รากสาดใหญ่" ซึ่งเป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเชีย (Rickettsia) ซึ่งตามธรรมชาติเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์ป่าในตระกูลสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระแต กระจ้อน เป็นต้น โดยเชื้อริกเก็ตเชียที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะจะไม่ทำให้สัตว์นั้นมีอาการของโรค แต่หากติดต่อมาสู่คนจะทำให้ป่วยได้
โรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) หรือ โรคไข้รากสาดใหญ่ เป็นโรคที่ต้องระวัง แม้พบได้ทุกฤดู แต่พบมากสุดในฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว โรคนี้ติดต่อมาสู่คนโดยมีไรอ่อน (Chiggers) เป็นพาหะ ไรอ่อนจะอาศัยอยู่ตามพุ่มไม้ ทุ่งหญ้าในป่าละเมาะ เมื่อสัตว์ฟันแทะผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น จะถูกไรอ่อนเกาะและดูดเลือด หากสัตว์เหล่านั้นมีเชื้อโรคอยู่ ไรอ่อนจะติดเชื้อ และเมื่อกัดคนจะทำให้เชื้อแพร่สู่คนต่อไป
"โรคนี้พบได้ทุกฤดู แต่จะพบมากในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว และพบมากในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้ที่ทำงานในภาคเกษตรกรรม ทำไร่ ทำสวน หาของป่า และนักท่องเที่ยวเดินป่า"
อาการของโรค หลังจากถูกกัดเชื้อจะมีระยะเวลาฟักตัว 6-20 วัน (เฉลี่ย 10 วัน) อาการที่พบบ่อยคือ ไข้เฉียบพลันและหนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อและปวดเมื่อยตามตัว บางรายไอแห้ง ต่อมน้ำเหลืองโตกดเจ็บ ปวดท้อง มีผื่นแดงเริ่มจากลำตัว ผื่นขนาดเล็กค่อย ๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น และอาจพบแผลบุ๋มสีดำคล้ายบุหรี่จี้บริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด ไม่เจ็บปวด ส่วนใหญ่พบตามซอกขาหนีบ รักแร้ ราวนม และข้อพับ อยู่นานราว 6-18 วัน บางรายอาจหายเอง และบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และการทำงานของอวัยวะในร่างกายล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ ข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 21 ตุลาคม 2567 มีรายงาน ผู้เสียชีวิต 4 ราย คือ นครราชสีมา 2 ราย , สุรินทร์และศรีสะเกษ จังหวัดละ 1 ราย ช่วงอายุระหว่าง 59-78 ปี มีประวัติเสี่ยงคือ ทำงานในสวน อาการสำคัญที่พบคือ มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ทั้ง 4 รายไม่พบผื่นหรือแผลบุ๋มสีดำคล้ายบุหรี่จี้
อีกทั้งยังพบรายงานการระบาดเป็นกลุ่มก้อน 2 เหตุการณ์ คือ ตาก 1 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 11 ราย ปัจจัยเสี่ยงคืออยู่ในป่า ภูเขา และทำเกษตรพืชไร่ และ สงขลา 1 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย 4 ราย กิจกรรมที่ทำร่วมกันก่อนมีอาการป่วยคือ ทำสวน (ตัดไม้ยาง)
นอกจากนี้ กองระบาดวิทยา ยังเผยข้อมูลอัตราป่วยโรคสครับไทฟัสต่อประชากรแสนคน จำแนกรายจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 29 ตุลาคม 2567 โดยแบ่งเป็น 10 อันดับ พบมากที่สุด คือ
- แม่ฮ่องสอน
- ตาก
- ระนอง
- น่าน
- เชียงราย
- เชียงใหม่
- พังงา
- ร้อยเอ็ด
- ยโสธร
- อุตรดิตถ์
กรมควบคุมโรค ให้คำแนะนำสำหรับประชาชนเพิ่มเติมว่า ด้วยปัจจุบันโรคสครับไทฟัส ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การป้องกันความเสี่ยงของการได้รับเชื้อจะดีที่สุด คือ เลี่ยงไม่ให้ถูกไรอ่อนกัด
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาศัยของไรอ่อน เช่น ป่าละเมาะ พื้นที่เกษตรใกล้ป่า ทุ่งหญ้า พุ่มไม้ ชายป่า หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง เป็นต้น
- หากจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง พยายามหลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนลงบนพื้นดินหรือหญ้า เพื่อไม่ให้ถูกไรอ่อนกัด ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดปกปิดแขนขา และใช้สารไล่แมลงทาหรือฉีดพ่นทั้งผิวหนังและเสื้อผ้า
- เมื่อออกจากพื้นที่เสี่ยงให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและสระผม สำรวจร่างกายตนเองว่ามีผื่น แผล หรือแมลงเกาะตามตัวหรือไม่ และควรนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้นทันที
ข้อมูลจาก กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค