“ผบ.ตร. กับ คอ และ ไหล่”
การแต่งตั้ง “นายพลใหญ่” เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวว่าโผที่นักการเมืองส่งไป ไม่ได้ชูช่อไสว หรือออกดอกสดใส เหมือนที่เคยทำได้ในอดีต
สื่อรายงานตรงกันว่า มีก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิหนึ่งเดียว ที่ยืนหยัดหลักเกณฑ์ หลักการและข้อกฎหมาย จนทำให้ ก.ตร. ท่านอื่นๆ ไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใด มาเปลี่ยนการตัดสินใจให้เป็นไปตามโผที่ส่งมาได้
ตรงนี้ สังคมควรชื่นชมในหลักการ และความกล้าหาญ ของ ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่านนั้นครับ
สตช. ได้ผ่านช่วงเวลาที่ชอกช้ำสุดขีดมาระยะหนึ่งแล้ว และตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา สตช. ก็ได้ “หัว” เป็น ผบ.ตร. คนใหม่ ที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกประมาณ 2 ปี เป็นเวลาที่ไม่ยาวนัก แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไป
ในฐานะนักวิชาการ ที่เคยบริหารองค์กรเล็กๆซึ่งเผชิญ “วิกฤติความน่าเชื่อถือ” มาแล้ว ผมมาคิดว่าถ้าท่าน ผบ.ตร. มีเวลาไม่มากนัก และสถานการณ์ของ สตช. เป็นอย่างนี้ น่าจะมีแนวทางในการบริหารอย่างไร ให้ได้ใจประชาชน
ทุกองค์กรย่อมมีผู้นำ ซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุด และเป็น “หัว” ขององค์กร หัวจะไปทางไหน คนทั้งองค์กรก็ไปทิศทางนั้น ดังนั้นการที่จะแก้ไขวัฒนธรรมองค์กร ที่ชอกช้ำ ถ้าจะให้ได้ผลจริงและเร็ว ก็ต้องเริ่มที่หัว นี่แหละ
เหตุการณ์ 2-3 ปีที่ผ่านมา สตช. วิกฤติอย่างไร และเหตุการณ์พลิกผันไปอย่างไร เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เอาเป็นว่าในที่สุด ก็ได้ ผบ.ตร. คนปัจจุบัน มาเป็น “หัว” ของ สตช.
แต่ผมคิดว่าหัวก็คือหัว… ยังไง ผบ.ตร. ก็หัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ดี เพราะไม่มีผู้นำคนไหน ที่ทำอะไรให้สำเร็จได้ ด้วยตัวเองตามลำพัง
หัว ต้องมีคอ มีไหล่ ไว้ค้ำยัน
การแต่งตั้งนายพลใหญ่ เมื่อเดือนที่แล้ว ก.ตร. เห็นชอบรายชื่อนายพลใหญ่ 41 คน ชื่ออะไรและเก่งแค่ไหน ผมไม่รู้จักสักคน แค่รู้จากข่าวว่าการแต่งตั้ง ไม่ได้เป็นไปตามคำขอของนักการเมือง และเป็นการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง ชอบธรรม
ในหลักวิชาบริหาร ผมมองว่าเมื่อเริ่มได้แบบนี้ ก็ถือว่ามี “ผลบวก” ต่อ ผบ.ตร. อย่างยิ่งแล้วครับ เพราะการที่ ผบ.ตร.ได้นายพลเหล่านี้ มาเป็นคอ เป็นไหล่ อย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่มีเบื้องหลัง หรือฝากฝังเข้ามาโดยใคร ก็ทำให้ ผบ.ตร. ไม่ต้องระวัง หรือระแวง คอและไหล่ ของท่านบางคน จนเกินไป
ขณะเดียวกัน ผมมองว่า นายพลใหญ่ทุกคนที่ได้รับการแต่งตั้ง ก็น่าจะมีความพึงพอใจ มีขวัญและกำลังใจที่ดี เพราะได้ตำแหน่งมาอย่างถูกต้อง ถูกทาง
ผมอยากจะบอกว่า นายพลใหญ่ทั้งหลาย น่าจะตระหนักด้วยว่า นี่คือโอกาสสำคัญ ที่จะได้สร้างผลงานเพื่อเก็บไว้ภาคภูมิใจในอนาคตอีกไม่ไกลนัก หลังจากวันที่ท่านเกษียณอายุ
ควรถามตัวเองว่า เมื่อได้ตำแหน่งสำคัญมาแล้ว วันนี้ควรทำอะไรบ้าง ควรทุ่มเทอะไรบ้าง และถ้าไม่รีบทำตอนนี้ จะรอไปทำตอนไหนอย่ารอไปจนถึงเกษียณ แล้วมาเสียดายภายหลังว่า ตอนที่มีตำแหน่ง ทำไมเราจึงไม่ทำนั่น ไม่ทำนี่
ผมคิดว่า คอและไหล่ ที่ได้มาอย่างถูกหลักถูกเกณฑ์ครั้งนี้เป็นการเปิดพื้นที่ที่ดีมากๆ ให้ผบ.ตร คนปัจจุบัน เป็นพื้นที่ ที่แตกต่างจาก ผบ.ตร. คนที่ผ่านมา ซึ่งในเวลานั้น หัวและคอ ต่อกรกันรายวัน และนัวเนียไปถึงไหล่ จนปวดร้าว อักเสบ ไปทั่วร่างกาย
ผบ.ตร. จะต้องไม่ปล่อยให้เวลาทองช่วงนี้ผ่านไป ควรจัดการให้ดีพอ เพราะถ้าขาดการจัดการที่ดี อีกไม่นาน คอและไหล่ ก็อาจทำงานกันไปคนละทางสองทาง ตื่นขึ้นมาอีกที จะกลายเป็นว่า ผบ.ตร. เหมือนนอนตกหมอน คอเคล็ด ไหล่อักเสบ เจ็บไปหมด
ทีม ผบ.ตร. กับคอ และไหล่ ต้องเคลื่อนที่อย่างเข้มแข็ง ไม่มีวันใดผ่านไป โดยไม่เล็งไปที่เป้าหมายรวม และเป้าหมายย่อย ที่วัดผลได้ชัดเจน
อย่ามีไหล่ไว้ แค่เป็นที่ติดยศเท่านั้นครับ
มนุษย์เรา มีหัว ไว้บรรจุสมอง มีปากไว้สื่อสาร จึงต้องใช้การสื่อสารให้เป็นประโยชน์ ปลุกเร้าลูกน้องทุกวัน ทั้งด้วยคำพูด และด้วยการกระทำ และต้องขับเคลื่อนนายพลใหญ่ทุกคน ให้ลงไปทำแบบเดียวกัน กับ “องคาพยพ” ของพวกเขาทั้งหลายด้วย
จากคอและไหล่ จะต้องลงสู่ หัวใจ ปอด และแขน ขา ฯลฯ ซึ่งหมายถึงกองกำลัง 230,000 คนงานใหญ่มหึมาขนาดนี้ ผบ.ตร. จะใช้วิธีธรรมดาที่เรียกว่า “Business As Usual” (BAU) นั้น เป็นไปไม่ได้เลยครับ แม้คำว่า Fast Track ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
เพราะสถานการณ์จริงมันคือ “Critical Mode” แล้ว
“ปฏิรูป” กันมาหลายรอบแล้ว แต่ สตช. ก็มีอาการ “กรอบ” ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ครั้งนี้ เรามาใช้คำธรรมดาๆที่ชาวประชาอยากเห็น จะดีกว่าไหม คือทำอะไรก็ได้ที่ “เปลี่ยนโฉม สตช.” ให้ประชาชนได้เห็นอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า วัฒนธรรมการทำงานแบบไทยเรานั้น ผบ ตร. คงจะต้องแบกภาระหนักอึ้ง และยังจะต้องเผชิญกับความกดดันทุกรูปแบบ จากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักการเมือง ที่อาจเข้ามารุมเร้าเรียกร้องในหลายเรื่อง
ดังนั้น คอและไหล่ ของ ผบ.ตร. ก็ยิ่งจะต้องแข็งแรงพอ ที่จะช่วยค้ำยันท่านได้ด้วย ถ้ายึดหลักการทำงานแนวเดียวกัน และรีบทำให้ แขน ขา ปอด หัวใจ แข็งแรงขึ้นโดยเร็ว ทั้งทีมก็คงจะพอสู้แรงกดดันจากภายนอกได้
ตำแหน่งสำคัญระดับ ผบ.ตร. ย่อมมีเดิมพันสูงเป็นธรรมดา แต่ถ้าใครชี้หรือกดดันให้ทำอะไร ที่ไม่ถูกต้อง แล้วยึดหลักหนักแน่นเข้าไว้ ถ้าผิดก็ไม่ทำ แบบนี้คงแคล้วคลาดจากภัย
แต่ถึงแม้ว่า วันที่ถูกกดดันจนถึงที่สุด อาจจะมาถึง…ถ้าหัว คอ และไหล่ ร่วมใจกันสู้จริง
ประชาชนก็เป็นผนังอิง ที่พึ่งพิงได้แน่นอนครับ