อายัดทรัพย์ 4.5 พันล้าน ปปง. สั่ง 27 คดี หุ้น STARK 3.2 พันล้าน ทนายตั้มโดน 71 ล้าน

อายัดทรัพย์ 4.5 พันล้าน ปปง. สั่ง 27 คดี หุ้น STARK 3.2 พันล้าน ทนายตั้มโดน 71 ล้าน

เช็กตรวจสอบคดีดัง ฟอกเงินฉ้อโกงประชาชน อายัดทรัพย์ 4.5 พันล้าน ปปง. สั่ง 27 คดี หุ้น STARK 3.2 พันล้าน ทนายตั้มโดน 71 ล้าน

กรุงเทพธุรกิจ เช็กตรวจสอบคดีดัง ฟอกเงิน ฉ้อโกงประชาชน อายัดทรัพย์ 4.5 พันล้าน ปปง. สั่ง 27 คดี หุ้น STARK 3.2 พันล้าน ทนายตั้ม โดน 71 ล้านบาท

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. และนายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมาย โฆษกประจำสำนักงาน ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567

ผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินการกับทรัพย์สินกว่า 821 รายการ 27 รายคดี มูลค่าทรัพย์สินกว่า 4,551 ล้านบาท และมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทรัพย์สิน 66 รายคดี

คณะกรรมการธุรกรรมได้พิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด สรุปผลการดำเนินการที่น่าสนใจดังนี้

1. ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 12 รายคดี ทรัพย์สินกว่า 234 รายการ พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 836 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินในคดีสำคัญเกี่ยวกับความผิดมูลฐานเกี่ยวกับยาเสพติด การฉ้อโกงประชาชนหรือการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และความผิดเกี่ยวกับการจัดให้มีการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีข้อมูลรายคดีสำคัญ ดังนี้

  • รายคดี นายษิทราฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และความผิดฐานฟอกเงิน โดยมีเหตุที่อันควรเชื่อได้ว่ามีการโอน ยักย้าย ปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 3 รายการ เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 71 ล้านบาท
     
  • รายคดี นางสาวสุรีวรรณฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน และการฉ้อโกง อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์มีพฤติการณ์โอนและรับโอนเงินเชื่อมโยงกับความผิดมูลฐานในคดีอื่นหลายคดี และเป็นเครือข่ายการฟอกเงินรายสำคัญ คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 125 รายการ ซึ่งเป็นเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 505 ล้านบาท
  • รายคดี นางสาวเจียนฯ กับพวก (สัญชาติจีน) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงิน คณะกรรมการธุรกรรมเคยมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้แล้ว 59 รายการ มูลค่าประมาณ 27 ล้านบาท (ย.168/2567) และจากการสืบสวนขยายผลพบทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มเติม ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) จำนวน 7 รายการ (ห้องชุด และบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 78 ล้านบาท
     
  • รายคดี นางสาวเดือนนภาฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน และความผิดฐานฟอกเงิน คณะกรรมการธุรกรรมเคยมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้แล้วรวม 118 รายการ มูลค่าประมาณ 574 ล้านบาท (ย.254/2566 ,ย.94/2567) และจากการสืบสวนขยายผล พบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพิ่มเติม ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) จำนวน 4 รายการ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง) รวมมูลค่าประมาณ 95 ล้านบาท
     
  • รายคดี นายภานุวัชรฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน คณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 22 รายการ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ซึ่งถูกยึดอายัดทรัพย์สินหรือผู้มีส่วนได้เสียในกรณีต่างๆ สามารถยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการ ปปง. พร้อมพยานหลักฐานที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเป็นหนังสือ

2. ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 6 รายคดี ทรัพย์สินกว่า 119 รายการ มูลค่าประมาณ 287 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับความผิดมูลฐานเกี่ยวกับยาเสพติด และมีความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน โดยมีข้อมูลรายคดีสำคัญ ดังนี้

  • รายคดี บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องของให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำสั่งที่ ย.214/2567 , ย. 222/2567 , ย.223/2567 ย.224/2567 และ ย.225/2567 รวมจำนวน 103 รายการ มูลค่าประมาณ 286 ล้านบาท และมีมติให้เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์สิน จำนวน 40 รายการ มูลค่ารวมประมาณ 29 ล้านบาท เนื่องจากผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงหลักฐานว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ ในส่วนของการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย สำนักงาน ปปง. ได้ประกาศกำหนดให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องฯ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ครบกำหนดวันที่17 กุมภาพันธ์ 2568) จากนั้น สำนักงาน ปปง. จะตรวจสอบ และรวบรวมรายชื่อผู้เสียหายและจำนวนความเสียหายเพื่อพิจารณาก่อนส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งให้มีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนให้กับผู้เสียหายตามสัดส่วนความเสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินต่อไป

อนึ่ง การส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องของให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดำเนินการกับทรัพย์สินในคดีนี้ ทั้งนี้ หากสำนักงาน ปปง. มีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินในคดีนี้เพิ่มเติมจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป

3. ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือ ชดใช้คืนผู้เสียหาย (คุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) จำนวน 9 รายคดี ทรัพย์สิน 468 รายการ มูลค่าประมาณ 3,428 ล้านบาท ในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ โดยมีข้อมูลรายคดีสำคัญ คือ

  • รายคดี นางสาวรัชญาฯ กับพวก ซึ่งเป็นความผิดมูฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน การฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และความผิดฐานฟอกเงิน ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (กรณีคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) ซึ่งเป็นการดำเนินการกับทรัพย์สิน จำนวน 303 รายการ (เช่น ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ เงินสด สินค้าแบรนด์เนม และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท (คำสั่ง ย. 142/2567)
     
  •  รายคดี นายชนินทร์ฯ กับพวก (กรณีหุ้น STARK)  ซึ่งเป็นความผิดมูฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน และการยักยอกฯ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งการดำเนินการกับทรัพย์สินในกรณีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง โดยสำนักงาน ปปง. รวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เสียหายเพื่อดำเนินการคุ้มครองสิทธิฯ เสร็จสิ้นแล้ว ในการนี้ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายกว่า 3,900 ราย) ซึ่งเป็นการดำเนินการกับทรัพย์สิน จำนวน 50 รายการ (เช่น ที่ดิน และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 3,244 ล้านบาท (คำสั่ง ย. 222/2566 และ ย. 32/67) 

อ้างอิง - สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.