อัปเดต นางงามสาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ สูญ 4 ล้าน ตร.ล่าจับแก๊งคอลอีก 1
ล่าสุดอัปเดตข่าวดัง นางงามสาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ "ชาล็อต ออสติน" สูญ 4 ล้าน ตำรวจล่าจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีก 1 ราย
ตรวจสอบล่าสุดอัปเดตข่าวดัง กรณีนางงามสาว ลูกครึ่งไทย-อังกฤษ อย่าง "ชาล็อต ออสติน" เธอสูญเสีย 4 ล้านบาท เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตำรวจล่าจับได้อีก 1 ราย
เมื่อวาน 23 ธ.ค.67 เวลา 11.30 น. บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ บช.สอท. (เมืองทองธานี)
- พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.,
- พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,
- พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1
- พ.ต.อ.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ รอง ผบก.สอท.2 รรท. ผบก.สอท.3
พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้า ปฏิบัติการล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลวง “ชาล็อต ออสติน” สูญเงินกว่า 4 ล้านบาท ขยายผลต่อเนื่อง จับกุมผู้รวบรวมบัญชีเพิ่มอีก 1 ราย
สืบเนื่องจาก บช.สอท. ได้มีการจัดแถลงข่าว ตำรวจไซเบอร์แถลงความคืบหน้า ปฏิบัติการล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลวง “ชาล็อต ออสติน” สูญเงินกว่า 4 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.1 ได้สืบสวนจนจับกุมตัว นางสาวปาริฉัตต์ อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นบัญชีม้าแถวแรก และมีการข้ามแดนไปสแกนหน้าที่ฝั่งประเทศกัมพูชา
และนายอาทิตญา อายุ 43 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมบัญชีม้า
จาการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ทำให้ทราบถึงผู้ที่คนรวบรวมบัญชีอีก 1 ราย ที่พาบัญชีม้าไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชา
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กก.3 บก.สอท.1 จึงได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีเพิ่มเติม จนสามารถจับกุมตัว นางจันทร์ทาฯ อายุ 51 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 6294/2567 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2567 โดยจับกุมตัวพร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy A06 และซิมโทรศัพท์อีก 2 ซิม ได้ที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.บางศรีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นผู้รวบรวมบัญชีม้า และเดินทางข้ามแดนไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชา
ในชั้นจับกุม นางจันทร์ทา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และพร้อมให้การที่เป็นประโยชน์
นางจันทร์ทา ให้การว่า
- เคยถูกว่าจ้างให้เปิดบัญชีและไปสแกนหน้าที่ประเทศกัมพูชามาก่อน
- หลังจากที่บัญชีถูกอายัดแล้ว จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย
- แต่ก็ยังติดต่อกับผู้ร่วมขบวนการที่รู้จักกันที่กัมพูชาอยู่
- จึงผันตัวมาเป็นคนกลางผู้รวบรวมบัญชีม้า แล้วส่งต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินคดีในความผิดฐาน
- ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น,
- ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจ ด้วยการขู่เข็ญ,
- ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือ ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยเป็นการกระทำต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด,
- เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใด ๆ เพื่อให้มีการขายบัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใดและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
ทั้งนี้ ตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างเร่งสืบสวนขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีเพิ่มเติม
และยืนยันว่าตำรวจไซเบอร์ทุกนายมีความตั้งใจในการทำคดีอย่างเต็มที่ในทุกคดี เพื่อเป็นที่พึ่งและเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหายทุกราย ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนมีชื่อเสียง บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเปราะบาง จึงขอให้มั่นใจในการทำงานของตำรวจไซเบอร์
ทั้งนี้ ตามนโยบาย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายในการเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยมี
- พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.,
- พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ
- พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. ได้ขับเคลื่อนนโยบายผ่าน
- พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบควบคุมสั่งการ บช.สอท. และ
- พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้สั่งการให้
- พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.
นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์และดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพื่อสามารถติดตามทรัพย์สินที่หลอกลวงไปกลับมาเยียวยาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว