ปราบอาวุธปืนดัดแปลง ซื้อขายผ่านสื่อโซเชียล รวบ 2 ชายไทย-กัมพูชา
สืบนครบาล ปราบปรามอาวุธปืนดัดแปลง ซื้อขายผ่านสื่อโซเชียล รวบ 2 ชายไทย-กัมพูชา
กรณีสืบนครบาล ปราบปรามอาวุธปืนดัดแปลง ซื้อขายผ่านสื่อโซเชียล รวบ 2 ชายไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้จับกุมตัว นายพี (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี และนายลินดา (สัญชาติกัมพูชา) อายุ 19 ปี
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมีและพยายามจำหน่ายอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันมีอาวุธมีดโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรฯ”
จับกุม บริเวณหน้าตลาดปัฐวิกรณ์ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบุงกุ่ม กรุงเทพฯ
พฤติการณ์แห่งคดี ก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้ออกติดตามสืบสวนหาข่าว เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบจำหน่ายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
โดยใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางในการติดต่อ ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.2ฯ และได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายพี ใช้บัญชีเฟสบุ๊คในการขายอาวุธปืนฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ออกสืบสวนติดตามเรื่อยมา กระทั่งวันนี้( 23 ธ.ค.67 ) ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. พ.ต.ต.สมพร คำเกตุ สว.กก.สส.2 บก.สส.บช.น. ได้มีสายลับเข้ามาพบและแจ้งว่า มี ผู้ใช้บัญชีเฟสบุ๊คดังกล่าวได้เสนอขาย อาวุธปืนประดิษฐ์ดัดแปลงลำกล้อง พร้อมเครื่องกระสุนปืนขนาด .380 ในราคา 12,500 บาท
โดยนัดหมายให้มารับ บริเวณตลาดปัฐวิกรณ์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ พ.ต.ต.สมพรฯ จึงรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อขออนุมัติในการล่อซื้อจับกุมผู้กระทำความผิด และได้วางแผนการล่อซื้อเพื่อทำการจับกุมผู้กระทำความผิด
ต่อมาเวลาประมาณ 16.30 น. จึงได้ออกเดินทาง และได้มอบเงินล่อซื้อ ให้กับสายลับโดย พ.ต.ต.สมพรฯ มอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ไปกับสายลับเพื่อไปทำการล่อซื้ออาวุธจากนายพี ต่อมาประมาณ 19.00 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปถึงบริเวณจุดนัดหมาย ได้ให้สายลับโทรแจ้งนายพี และเมื่อเวลาประมาณ 19.45 น. นายพีได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดที่ริมถนนนวมินทร์ หน้าตลาดปัฐวิกรณ์ โดยมีนายลินดา เป็นผู้ซ้อนรถจักรยานยนต์มาด้วย
จากนั้น นายพีได้เดินมาหาสายลับที่อยู่บริเวณหน้าตลาดปัฐวิกรณ์ เพื่อทำการซื้อขายอาวุธปืนของกลางดังกล่าว เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นอาวุธปืนของกลางดังกล่าว สายลับจึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเข้าทำการจับกุมตัวนายพีพร้อมของกลางอาวุธปืน ระหว่างที่เข้าทำการจับกุมนายพี และนายลินดาฯ ที่รออยู่ที่รถจักรยานยนต์ ได้พยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการควบคุมตัวนายลินดาฯ
และได้ทำการตรวจค้นตัวนายลินดาฯ ผลการตรวจค้นพบ อาวุธมีดอยู่ที่เอวของนายลินดาฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ถูกจับกุมทั้ง 2 ว่า
“ร่วมกันมีและพยายามจำหน่ายอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันมีอาวุธมีดโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรฯ”
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ควบคุมตัวนายพีและนายลินดาฯ มายัง กก.สส.2 บก.สส.บช.น. เพื่อสอบสวนขยายผลอาวุธปืน
จากการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธปืน นายพี ได้ให้การว่า ได้ติดต่อเสนอขายอาวุธปืนดังกล่าวจริง โดยเสนอขายในราคา 12,500 บาท และนายลินดา ให้การว่า ได้ซ้อนรถจักรยานยนต์ของนายพีมา
โดยนายพี บอกว่าให้มาเป็นเพื่อนซื้อของแถวนวมินทร์ ส่วนอาวุธมีด ตนได้พกมาเพื่อไว้ป้องกันตัว จากนั้นได้นำตัวพร้อมของกลาง ส่ง พงส.สนบึงกุ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า อาวุธปืนนั้น เป็นต้นตอของการก่อเหตุอาชญากรรมต่างๆ ทั้งเหตุอุกฉกรรจ์ ลักวิ่งชิงปล้น นักเรียนไล่ยิงกัน วัยรุ่นยิงคู่อริ โดยทางสืบนครบาลมุ่งเน้นที่จะปราบปรามจับกุมอย่างจริงจังตลอดเวลาตามนโยบายของ ผบ.ตร.
เตือนผู้ซื้อ-ขายปืนออนไลน์ มีความผิดทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ผู้ซื้ออาวุธปืนออนไลน์มีความผิดฐาน “ซื้อ มี ใช้ สั่ง หรือนำเข้า อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต”
มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท ส่วนผู้ขายมีความผิดฐาน “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต”
มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000-40,000 บาท