อัปเดตเบื้องหลัง จับไทย-จีนนับสิบ แก๊งฟอกเงิน ถอนเงินสด 2,900 ล้าน

ตรวจสอบอัปเดตล่าสุด เปิดเบื้องหลัง ตำรวจสอบสวนกลางจับไทย-จีนนับสิบ แก๊งฟอกเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถอนเงินสด 2,900 ล้าน
กรุงเทพธุรกิจ ตรวจสอบอัปเดตล่าสุด เปิดเบื้องหลัง ตำรวจสอบสวนกลางจับไทย-จีนนับสิบ แก๊งฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถอนเงินสด 2,900 ล้าน
วันนี้ ( 18 ก.พ.68 ) เวลา 10.30 น. ที่กองปราบ ตำรวจสอบสวนกลาง CIB เปิดปฏิบัติการ รวบแก๊งฟอกเงิน มังกรเทา พบถอนเงินสดกว่า 2,000 ล้านบาท
อัปเดตล่าสุด เนชั่นทีวีรายงาน ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ร่วมด้วยตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)
นำโดย พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท. พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รองผกก.2 บก.ปอท. และ พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ มงคลการ สว.กก.2 บก.ปอท. ร่วมแถลงผลทลายเครือข่ายขบวนการฟอกเงินจีนเทา จับกุมผู้ต้องหารวม 10 คน
ประกอบด้วย
- หญิงไทย อายุ 27 ปี จับกุมได้ที่ คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านสุทธิสาร แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
- ชายต่างชาติ อายุ 35 ปี จับกุมได้ที่ คอนโดแห่งหนึ่ งย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ
- ชายต่างชาติชาวจีน อายุ 30 ปี จับกุมได้ที่ คอนโดย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
- ชายต่างชาติชาวจีน อายุ 46 ปี จับกุมได้ที่ ห้องพักแห่งหนึ่งย่านไนท์ซาฟารี ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่
- หญิงต่างชาติชาวจีน อายุ 44 ปี จับกุม ได้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
- หญิงไทย อายุ 44 ปี จับกุมได้ที่ บ้านแห่งหนึ่ง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี
- ชายไทย อายุ 31 ปี จับกุมได้ที่ บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.สระแก้ว
- ชายไทย อายุ 21 ปี จับกุมได้ที่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
- หญิงไทย อายุ 26 ปี จับกุมได้ที่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช
- หญิงไทย อายุ 39 ปี จับกุมได้ที่ หน้าบ้านแห่งหนึ่งใน อ.ลาดใหญ่ จ.สมุทรสงคราม
ดำเนินคดีอั้งยี่ฟอกเงิน
- ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
- ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น
- ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
- สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
- ร่วมกันฟอกเงิน
- ร่วมกันเป็นอั้งยี่
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการหลอกลวงเหยื่อมาโดยตลอด โดยส่วนใหญ่จะอาศัยพฤติกรรมของเหยื่อในการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น
การซื้อขายของออนไลน์
การเช่าที่พัก
รวมไปถึงการหางานหรือรายได้พิเศษ
ในปัจจุบันพบว่า มิจฉาชีพ ได้เลือกใช้กลวิธีในการ หลอกลวงเหยื่อในรูปแบบของการหางาน หรือหารายได้พิเศษทางช่องทางออนไลน์ อาศัยการทำงานที่ง่ายและได้เงินได้ทันที
ทำให้เหยื่อเกิดความหลงเชื่อ สนใจเข้าร่วมทำงาน ก่อนจะหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ
เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีผู้เสียหายต้องการหางานทำ เพื่อหารายได้พิเศษพบโพสต์ประกาศหางานในสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นการทำงานพิเศษเสริมรายได้ โดยเป็นการรับสินค้าไปแพ็คที่บ้าน
ต่อมา ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ติดต่อพูดคุย โดยในช่วงแรกคนร้ายได้ชักชวนให้ทำงานพิเศษในรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นงานกดไลค์ กดเพิ่มยอดติดตามต่างๆ เมื่อผู้เสียหายได้ทดลองทำงานดังกล่าวปรากฏว่า ได้เงินจากการทำงานจริง เป็นจำนวนหลายครั้ง
จากนั้น คนร้ายจึงเริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายทำกิจกรรมพิเศษต่างๆ โดยกิจกรรมดังกล่าวผู้เสียหายจะต้องนำเงินมาลงทุนก่อน
จึงจะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานตามเงินลงทุนที่ลงทุนไป โดยมีผลตอบแทนประมาณ 30% ถึง 50%
ผู้เสียหายหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุน ในช่วงแรกมีการให้ผลตอบแทนในการลงทุนจริง จากนั้นคนร้ายได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินไปลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งภายหลังผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินออกมาจากระบบได้ โดยคนร้ายให้เหตุผลว่าเป็นความผิดของผู้เสียหาย อ้างว่าไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด ภายหลังผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกหลอกลวง จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท.
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ได้สืบสวน โดยพบว่าทำเป็นขบวนการ มีผู้ร่วมขบวนการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
มีการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารต่างๆ ก่อนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดถอนออกจากบัญชี จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันอีกประมาณ 60 ราย มูลความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอออกหมายจับต่อศาลอาญา โดยออกหมายจับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 32 ราย แบ่งเป็น
- กลุ่มบัญชีม้าคนไทย จำนวน 10 ราย
- กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน 2 ราย
- กลุ่มขบวนการที่มีการฟอกเงิน จำนวน 20 ราย ชาวไทย 1 ราย, ชาวจีน 14 ราย , ชาวเกาหลี 5 ราย
วันที่ 11-14 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. จึงได้สนธิกำลัง ร่วมด้วย บก.ป., บก.ปคบ., บก.ปคม. และ บก.ทล. เปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา”
โดยเข้าตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว เข้าตรวจค้นจำนวน 20 จุด 8 จังหวัด ทั่วประเทศไทย
แบ่งเป็นพื้นที่
- กรุงเทพฯ 7 จุด,
- เชียงใหม่ 5 จุด ,
- สมุทรปราการ 3 จุด ,
- สระแก้ว 1 จุด ,
- ปราจีนบุรี 1 จุด ,
- นครศรีธรรมราช 1 จุด ,
- สมุทรสาคร 1 จุด
- สมุทรสงคราม 1 จุด
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย ได้แก่ สมาชิกแก๊งฟอกเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้าที่ใช้ในการกระทำความผิด จำนวน 5 ราย
พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ รวม 210 รายการ เช่น
- คอมพิวเตอร์ ,
- โทรศัพท์มือถือ ,
- สมุดบัญชี ,
- รถยนต์
- รถจักรยานยนต์ ,
- เงินสด ,
- โฉนดที่ดิน
- บ้าน
-คอนโด ,
- นาฬิกาหรู ,
- กระเป๋าแบรนด์เนม
- ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท
นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
การปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้ทำการฟอกเงินซื้อทรัพย์สิน และอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นบ้านหรูและคอนโดหรู ทรัพย์สินมีค่า เช่น นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ มูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 440 ล้านบาท
ผู้ต้องหาลำดับที่ 1 เป็นตัวการฟอกเงินในประเทศไทย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริง ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณปี 2562 เคยทำหน้าที่เป็นล่ามและไกด์พาเที่ยวให้กับชาวจีน
ต่อมาเมื่อประมาณปี 2566 รู้จักกับแฟนหนุ่มชาวจีน และได้ร่วมกันรับเหรียญดิจิทัลจากลูกค้ากลุ่มจีนเทาต่างๆ ที่ต้องการใช้เงินในประเทศไทย
จากนั้นได้นำเหรียญดิจิทัลมาขายและนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย นำส่งให้กับกลุ่มจีนเทาตามคำสั่ง โดยจะได้ค่าบริการ 0.03% - 0.05% ของยอดเงิน
ขั้นตอนการทำงานแต่ละครั้ง แฟนหนุ่มของผู้ต้องหาที่ 1 จะติดต่อกับกลุ่มจีนเทาต่าง ๆ จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 และคนในแก๊งจะรับเหรียญดิจิทัลมาจากลูกค้าแล้วนำเหรียญดิจิทัลมาขายออกในรูปแบบ p2p ผ่านแพลฟอร์ม EXCHANGE โดยผู้ต้องหาจะส่งเงินตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา
กรณีถ้ายอดเงินมีจำนวนไม่มาก ผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน จะใช้วิธีการโอนเงินผ่านบัญชีของตนเองไปให้กับลูกค้า แต่หากในกรณีเงินที่ต้องส่งให้กับลูกค้าจำนวนมาก ผู้ต้องหาที่ 1 จะเบิกเงินสด แล้วนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าตามสถานที่นัดหมายหรือนำเงินสดฝากเข้าบัญชีต่างๆ ตามคำสั่งของกลุ่มจีนเทา เนื่องจากกลุ่มจีนเทามีความต้องการเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปใช้จ่ายในประเทศไทย
ผู้ต้องหาที่ 1 และแฟนหนุ่มชาวจีน ได้ร่วมกันกับพวกฟอกเงินให้กับกลุ่มจีนเทามาตั้งแต่ปี 2566 ถึงปัจจุบัน
ตรวจสอบ เส้นทางการเงินของแก๊งพบว่ามีการรับเงินดิจิทัลสกุล USDT จำนวนประมาณ 187 ล้านเหรียญUSDT (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,500 ล้านบาท) มีการถอนเงินสดเป็นเงินไทยประมาณ 2,900 ล้านบาท และยังมีการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมาย
ผู้ต้องหาลำดับที่ 2-5 เป็นผู้ต้องหาชาวจีน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่ามีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 และกลุ่มคนจีนคนอื่นๆ ในการรับเหรียญดิจิทัลมาจากกลุ่มจีนเทามาเทขายเหรียญ ก่อนที่จะนำเงินสดไปส่งมอบให้กับลูกค้าชาวจีนตามจุดนัดหมายต่างๆ โดยกลุ่มคนจีนมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน มีทั้งการถอนเงินสดที่สาขา การนำส่งเงินสดตามที่ลูกค้านัดหมายตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย
คดีนี้นอกจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความเกี่ยวข้องของเส้นทางการเงินที่มีการไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้ว ยังพบว่ามีพฤติการณ์ก่อตั้งบริษัทที่ให้คนไทยมาเป็นนอมินีในการจัดตั้งเพื่อมารับโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ภายหลังการโอนกรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจเป็นคนจีน ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจจริง
ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมในการตรวจยึดอสังหาริมทรัพย์และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พบว่า มีเงินไหลเข้าไปบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 10 บริษัท ในย่านบางนา เอกมัย และฝั่งธน ใช้นอมินีสัญชาติไทย แต่กรรมการเป็นคนจีน
อ้างอิง ตำรวจสอบสวนกลาง