ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ เกินมาตรฐาน ระดับสีแดง สั่งเฝ้าระวังใกล้ชิด

ค่าฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ เกินมาตรฐานในระดับสีแดง บกปภ.ช. สั่งเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับพื้นที่ควบคุมจุดความร้อนและแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเข้มข้น
วันนี้ (24 มี.ค. 68) ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ 17 จังหวัดภาคเหนือติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิด โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินงานตามมาตรการเพื่อควบคุมจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่และควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเข้มข้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่นคลี่คลายและกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการ กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการติดตามจุดความร้อนในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 -23 มีนาคม 2568) ประเทศไทยมีจุดความร้อนสะสมรวม 7,278 จุด โดยพื้นที่ที่พบจำนวนจุดความร้อนสูงเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 2,387 จุด และป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 2,369 จุด เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาพบว่าจุดความร้อนสะสมในห้วงเวลาเดียวกันมีจำนวนมากขึ้นและจุดความร้อนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่า
5 จังหวัดที่มีจุดความร้อนสะสมสูงสุด ได้แก่
- จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- จังหวัดตาก
- จังหวัดอุตรดิตถ์
- จังหวัดเชียงใหม่
- จังหวัดน่าน
ด้านจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า
- ประเทศเมียนมา มีจุดความร้อนสะสม 34,772 จุด
- ประเทศลาว มีจุดความร้อนสะสม จำนวน 7,779 จุด
- ประเทศกัมพูชา มีจุดความร้อนสะสม จำนวน 3,945 จุด
- ประเทศเวียดนาม มีจุดความร้อนสะสม 3,141 จุด
นอกจากนี้ พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เป็นเขตรอยต่อกับประเทศเมียนมา มีจุดความร้อนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งและมีเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดจุดความร้อนสะสมเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องเฝ้าระวังในพื้นที่แม่ฮ่องสอนที่เป็นจุดรอยต่อกับประเทศเมียนมาให้มากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองในประเทศไทยในวันนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีแดง ทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะทางตอนบนที่เป็นพื้นที่รอยต่อชายแดนกับประเทศลาว มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีแดง และภาคกลาง ส่วนใหญ่มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีส้ม
5 อันดับแรก ที่มีปริมาณฝุ่นละอองสูงสุดระดับสีแดง ได้แก่
- ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
- ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ
- ตำบลจอมคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ตำบลนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
- ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มสภาพอากาศ ในช่วง 3 – 4 วันข้างหน้า สภาพอากาศจะเปิดทำให้สามารถบรรเทาฝุ่นละอองออกจากพื้นที่ออกไปได้บ้าง จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิด โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินงานโดยใช้มาตรการของรัฐบาลและกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ดำเนินการลดจำนวนจุดความร้อนให้ได้มากที่สุด และควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่น เพื่อลดปริมาณฝุ่นให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อทำให้คุณภาพอากาศกลับมาดีในทุกพื้นที่
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลอย่างเข้มข้นเพื่อลดฝุ่นละอองในอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการป้องกันปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการเผาอย่างเด็ดขาด ซึ่งกรมป่าไม้ได้ติดตามสถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พบว่า วันนี้มีจุดความร้อนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ รวม 168 จุด แยกเป็น พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ จำนวน 143 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 19 จุด และภาคกลาง จำนวน 6 จุด ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว 94 คดี พื้นที่เสียหาย รวม 6,044 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา
ด้านกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช รายงานว่า ในวันนี้พบจุดความร้อนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวม 190 จุด โดยจุดความร้อนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ 154 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 จุด ภาคกลางและภาคตะวันออก 1 จุด ดำเนินคดีกับผู้ที่เผาป่าในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว 63 คดี พื้นที่เสียหาย 2,772 ไร่
สำหรับการบินดัดแปรสภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานสถานการณ์การหีบอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปีนี้ ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูการผลิตในปี 2561/2562 โดยมีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสม ร้อยละ 14.41 ส่งผลให้ลดพื้นที่เผาป่าลงได้กว่า 5.71 ล้านไร่
สำหรับการดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้มีการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาลและกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติอย่างเข้มข้น โดยจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 15 พฤษภาคม 2568 รวมถึงประกาศปิดป่าอุทยานแห่งชาติ และป่าอนุรักษ์ทุกแห่ง จัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดเฝ้าระวัง กว่า 800 จุด พร้อมบูรณาการชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทำการดับไฟป่า ประกอบด้วย สิงห์ไฟ เสือไฟ เหยี่ยวไฟ แมวไฟ ทหาร และภาคีเครือข่าย รวมจำนวน 16,000 คน บูรณาการร่วมกับกองทัพภาค 3 ส่วนหน้า สนับสนุนปฏิบัติการส่งอากาศยาน 3 ลำ ออกปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่เขาสูงที่เข้าถึงยาก ปฏิบัติการดับไฟป่า “ดับให้ไว ไม่ปล่อยไหม้ข้ามคืน” เพื่อเร่งควบคุมไฟป่าไม่ให้ลุกลามและขยายวงกว้าง เพื่อลดการสูดดมฝุ่นควันพิษให้กับประชาชน
นอกจากนี้ ยังใช้กลวิธีในการจ้างคนหาของป่า ทำหน้าที่ในการลาดตระเวน เฝ้าป่า ทำแนวกันไฟ และเปลี่ยนอาชีพมาเป็นไกด์นำเที่ยว สำหรับการจัดการไฟในพื้นที่เกษตร ได้ให้เกษตรกรไถกลบลดการเผาในพื้นที่เกษตร จำนวน 250,000 ไร่ กิจกรรมรับซื้อใบไม้/นำใบไม้มาแลกไข่ เพื่อลดเชื้อเพลิงในชุมชน และจัดทำประกันภัยอุบัติเหตุและตรวจสุขภาพก่อนดับไฟให้กับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร จำนวน 16,000 คน
ด้านนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า เนื่องจากค่าจุดความร้อนของประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะบริเวณประเทศเมียนมาและประเทศลาว จึงขอฝาก 17 จังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองและหมอกควันข้ามแดน รวมถึงการเตรียมการป้องกันและวิธีการดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งขอให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ ยังคงดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมจุดความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างเข้มข้น ตามที่นโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำไว้ ว่า หมอกควันข้ามแดน เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอก ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราเองจะต้องควบคุมปัจจัยภายในของเรา ทั้งจุดความร้อน ฝุ่นละอองภายในประเทศอย่างเข้มข้น ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อประชาชนของเรา พร้อมกันนี้ ขอฝากให้ทุกจังหวัดดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มข้น ทั้งเรื่องของการเคาะประตูบ้านพี่น้องเกษตรกรเพื่อห้ามเผา การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบ การบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และค่าจุดความร้อน ไม่เกินเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่นคลี่คลายและกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะติดตามสถานการณ์และรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ทาง Facebook กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ X @DDPMNews หากประชาชนต้องการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเรื่องได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 หรือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง"