TGE บอร์ดอนุมัติบริหารโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 2 แห่ง
TGE เตรียมเซ็นสัญญาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิต 2.8 เมกะวัตต์ และ 4.2 เมกะวัตต์ ภายในต้นปี 67 ผูกสัญญายาว 4 ปี 9 เดือน ประเมินผลตอบแทนรวม ประมาณ 349.90 ล้านบาท
นายสืบตระกูล บินเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติการเข้าทำสัญญาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพกับ บริษัท ท่าฉาง ไบโอแก๊ส จำกัด (TBG) โดยมีระยะเวลาของสัญญา 3 เดือน นับจากวันที่เข้าทำสัญญา และเตรียมเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ในวันที่ 17 มกราคม 2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าทำสัญญาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพกับ TBG โดยมีระยะเวลาของสัญญา 4 ปี 9 เดือน นับจากวันที่เข้าทำสัญญา โดยมีมติแต่งตั้ง บริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ
"การเข้าทำสัญญาบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพกับ TBG เพื่อให้เป็นประโยชน์กับ TGE ในการขยายธุรกิจการให้บริการ บริหารจัดการ โรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ขนาดกำลังการผลิต 2.8 เมกะวัตต์ และ 4.2 เมกะวัตต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย TGE ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า โดยใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิง เพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดย TGE จะได้รับรายได้ในสัดส่วน 50% จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตลอดอายุสัญญา 4 ปี 9 เดือน จาก TBG โดยประเมินมูลค่าผลตอบแทนอยู่ที่ 332.40 ล้านบาท ซึ่งรวมกับมูลค่าผลตอบแทนจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ระยะเวลา 3 เดือนแรกก่อนเข้าทำสัญญาระยะยาวดังกล่าวอีก 17.50 ล้านบาท จะทำให้มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ มีจำนวนประมาณ 349.90 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 31 ธันวาคม 2571 ทั้งนี้ TGE ไม่มีภาระหน้าที่ในการจัดหาแหล่งเงินทุนในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าแต่อย่างใด"
นายสืบตระกูล กล่าวว่า ได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 157,142,857.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 1,100,000,000 บาท เป็น 1,257,142,857.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 314,285,715 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทฯ มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศในสัดส่วน 7 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 วอร์แรนท์ ราคาใช้สิทธิ 1 บาท/หุ้น สามารถใช้สิทธิได้ 1 ครั้ง มีอายุ 1 ปี กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ (Record Date) ในวันที่ 25 มกราคม 2567 โดยวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต
"สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้ โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าและบริหารจัดการต้นทุน ส่วนกรณีที่รัฐบาลประกาศมาตรการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.10 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 แทบจะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ เนื่องจากมีผลเฉพาะกับรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าแก่บริษัทภายในกลุ่มท่าฉางเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% ของรายได้จากการดำเนินงาน"
นายสืบตระกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความคืบหน้าโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 3 โครงการ ที่ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือ Power Purchase Agreement (PPA) กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีปริมาณไฟฟ้าที่เสนอขายตามสัญญารวม 16 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจังหวัดสระแก้ว โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดชุมพร และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันได้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2567 นอกจากนี้ คาดว่าจะมีความคืบหน้าการเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน รวมถึงการเข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) เพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้ และช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
"แผนการดำเนินงานและการลงทุนในปี 2567 กลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับสัมปทาน ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งโดยรวมประมาณ 90 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตตามสัญญาสัมปทานฯ และสัญญาบริการที่ได้รับรวม 76.6 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าชีวมวลอยู่ที่ 29.7 เมกะวัตต์ รวมถึงได้รับสัมปทานโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 5 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมอยู่ที่ 39.9 เมกะวัตต์ และการให้บริการบริหารโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง รวม 7 เมกะวัตต์ ตลอดจนมีแผนในการรุกเข้าสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่กลุ่มบริษัทมีความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า และรุกตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อตอบสนองแนวโน้มในอนาคตที่จะมีความต้องการคาร์บอนเครดิตมากขึ้น รวมถึงเดินหน้าเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจ ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2566 ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 699.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาท หรือ 0.5% และมีกำไรสุทธิ 193.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.7 ล้านบาท หรือ 23.4% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้จากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายไฟให้บริษัทเอกชน และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมของโรงไฟฟ้าของบริษัทย่อย (TBP) จํานวน 6 เมกะวัตต์ รวมทั้งยังได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่า FiTและได้รับรายได้ชดเชยจากค่าประกันภัยสุทธิจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 22.3 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 3/2566 โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมรายการเงินชดเชยจากประกัน) ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็นจำนวน 170.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6 ล้านบาท หรือ 20.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน"