"สมเด็จพระสังฆราช" ประทานพรปีใหม่ 2566
เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม เนื่องในอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566 ความว่า
“บัดนี้ บรรลุอภิลักขิตสมัยขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2566 เมื่อถึงวาระเถลิงศก เราทั้งหลายคงได้เห็นการแสดงน้ำใจไมตรีต่อกันอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การส่งบัตรอวยพร การขอขมาลาโทษ การกล่าวถ้อยคำอวยชัยให้พรแก่กัน การมอบของขวัญ เป็นต้น ล้วนเป็นกิริยาวาจาอันดีงาม สมควรแก่การอนุโมทนายินดี เพราะเป็นวิถีปฏิบัติซึ่งส่องสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ผู้เจริญ ในอันที่จะผดุงสันติสุขให้ดำรงอยู่ได้ในวงสังคมที่ตนอยู่ ซึ่งย่อมเป็นปัจจัยเสริมสร้างสันติสุขในระดับประเทศชาติ และในระดับโลก โดยอาศัยอานุภาพแห่งเมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุน
ตามธรรมดาของสังคมซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ ตามทิฐิมานะของแต่ละปัจเจกบุคคล อาจเกิดความโกลาหล มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง จนถึงขั้นเบียดเบียนประทุษร้ายกันเป็นปรกติ ซึ่งล้วนเป็นสภาวะที่ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครปรารถนา แต่ก็น่าแปลกที่คนเรา แม้รู้ทั้งรู้ว่าการคิด การพูด และการกระทำดี จักนำมาซึ่งผลดีทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่น กลับยังไม่สมัครใจเร่งขวนขวายในอันที่จะกระทำความดีให้งดงามไพบูลย์ยิ่งขึ้น โดยอาจเริ่มต้นด้วยการรักตัวตนของตนเองให้น้อยลง รักความชอบธรรมให้มากขึ้น ยิ่งถ้าพิเคราะห์ดูก็จะเห็นได้ชัดว่าการปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีงามตามหลักศาสนา และตามหลักกฎหมายทางราชอาณาจักรนั้น ย่อมเป็นเหตุที่ให้คนดีรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจโดยประการต่าง ๆ เหตุฉะนี้ คนที่รักใคร่ใน “ธรรม” จึงมักเป็นผู้ร่มเย็นเองและนำความเจริญมาสู่ผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และคุณความดีที่ทุกท่านร่วมกันบำเพ็ญ เป็นปัจจัยนำพาสันติสุขมาสู่ประเทศชาติและประชาชน ดลความโสมนัสพระราชหฤทัย ให้บังเกิดมีในสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อจักได้ทรงเพียบเพ็ญด้วยพระบารมี ทวีคูณพระราชธรรมจริยาคุ้มครองอาณาราษฎรตลอดกาล และขอปวงประชาชาติไทยจงภิญโญสโมสร ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ประสบความสวัสดีเกษมศานต์ ตลอดพุทธศักราช 2566 นี้ โดยทั่วหน้ากัน เทอญ.”