บุโรทั่ง "พลังป้อม" เขย่าเป้าใหญ่ ท้าทาย "พปชร." กวาด 150 ส.ส.
ลำพัง "พลังประชารัฐ" จะใช้ขุมกำลังที่มี ที่เปรียบเป็นเครื่องยนต์รุ่นเก่า สตาร์ทติดๆ ดับๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็อาจจะสู้พรรคอื่นที่ปรับทัพ จูนเครื่องยนต์ใหม่ไฮบริด หรือแบบอีวี ได้ยากเข้าไปทุกวัน
ความเคลื่อนไหวภายในพรรค "พลังประชารัฐ" นาทีนี้กำลังขยับปรับทัพ พยายามกู้วิกฤติศรัทธากันยกใหญ่ หมายมั่นปั้นมือจะเป็นขั้วหลักในการเลือกตั้งครั้งต่อไปให้ได้
กับเป้าหมายสวยหรู กวาดส.ส.ให้ได้ 150 ที่นั่ง ภายใต้การนำของ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค โดยมี "สันติ พร้อมพัฒน์" รมช.คลัง รับบทเลขาธิการพรรค
จะว่าไปแล้ว "พลังประชารัฐ" ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เหมือนต้องคำสาป ติดหล่มความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจภายในมาตลอด การเป็นแกนนำพรรคของกลุ่ม 4 กุมาร นำโดย "อุตตม สาวนายน" เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรค และ "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" สมัยเป็นเลขาธิการพรรค ก็ถูกเกมการเมืองขย่มจนหลุดจากตำแหน่ง สุดท้ายก็ต้องโบกมือลาพรรคด้วยความเจ็บปวดใจ
ก่อนจะก้าวเข้าสู่ยุค ของ "พล.อ.ประวิตร" เข้ามากุมบังเหียน ความคุกรุ่นภายในกลับไม่เคยสงบลงอย่างแท้จริง หลายกลุ่มก๊วนภายในพรรคยังคงช่วงชิงการนำอยู่ตลอดเวลา
ตำแหน่งเลขาธิการพรรคนี้ เปลี่ยนบ่อยหรือใช้คนเปลืองมากที่สุด ตามแต่สถานการณ์การเมืองภายในจะพาไป แม่บ้านคนถัดมา คือ "อนุชา นาคาศัย" ที่แทบจะไม่มีบทบาทโดดเด่น ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมาเป็น "ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า" ที่ถือว่าขึ้นมาท่ามกลางความขัดแย้งช่วงที่หนักที่สุดช่วงหนึ่งของ "พลังประชารัฐ" มีการแบ่งขั้วแบ่งข้างห้ำหั่นกันอย่างชัดเจน
ก่อนจะเกิดปรากฎการณ์กบฎ คิดโหวตล้ม "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในสภา ด้วยการนำของ "ร.อ.ธรรมนัส" และส.ส.จำนวนหนึ่ง เนื่องจากต้องการต่อรองทางการเมือง เหตุการณ์นั้นถือเป็นจุดพีคของความขัดแย้งภายในพลังประชารัฐ ซึ่งก็อยู่ในช่วงที่ "พล.อ.ประวิตร" คุมพรรคทั้งสิ้น แต่ก็ไม่สามารถจัดการปัญหาใดๆ ได้
ปัจจัยเหล่านี้เองที่ทำให้พรรคย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวไปไหน ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ หรืออาศัยปัจจัยอื่นในการขับเคลื่อนพรรคในการเลือกตั้ง เช่น ใช้กระแสของ "พล.อ.ประยุทธ์" หรือพึ่งฐานเสียงของนักการเมืองที่ผูกขาดบางพื้นที่ รวมถึงทุนและอำนาจ ถึงทำให้พรรคมี ส.ส.อย่างที่เห็น
เนื่องจากระบบที่ไม่เป็นระบบของ "พลังประชารัฐ" นี่เอง ทำให้พรรคอ่อนแอ สร้างความนิยมจากประชาชนไม่ได้ การบริหารแบบรวมศูนย์ "พล.อ.ประวิตร" สามารถกำหนดทิศทางได้เองโดยกรรมการบริหารพรรค เป็นแค่ตราประทับ นายว่าอย่างไร ก็ต้องว่าตามนั้น หรือใครจะขออะไรก็เข้าพบขอโดยตรง เลยทำให้กลไกพรรคไม่ฟังก์ชั่นอย่างที่ควรจะเป็น
กรณีล่าสุดคือการเปิดตัวผู้สมัครส.ส. 2 ล็อตใหญ่ ในพื้นที่ภาคกลาง-ตะวันออก 10 คน โดยมี"สุชาติ ชมกลิ่น" รมว.แรงงาน คุมโซน และ พื้นที่ภาคอีสานเหนือ ที่มี แม่ทัพอี๊ด "พล.อ.ธัญญาเกียรติสาร" เข้ามาดูแลพื้นที่ดังกล่าวให้กับพรรค พร้อมกับเปิดตัว ผู้สมัครส.ส. 22 คน ไปแล้วนั้น
นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ข้ามขั้นตอนของพรรค เนื่องจากยังไม่ผ่านที่ประชุมกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง นอกจากนั้น การเปิดตัวผู้สมัครหน้าใหม่บางเขต ก็ไปวางตัวทับซ้อนกับ ส.ส.เจ้าของพื้นที่เดิม ที่ยังอยู่กับพรรค จึงไม่แปลกถ้าความขัดแย้งรอบใหม่จะปะทุขึ้นจากสาเหตุนี้ โดยเฉพาะเมื่อแกนนำพรรคบางคนระดับรัฐมนตรี อยากสยายปีกแผ่อิทธิพล ทั้งในและนอกพรรคด้วยความพยายามเป็นมือดีลพรรคเล็ก
ไหนจะคำปรามาส เรื่องนโยบายทิพย์ ที่เคยหาเสียงเมื่อตอนเลือกตั้งปี 62 เช่น ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ425 บาท จบปริญญาตรี เงินเดือน 2 หมื่นบาท ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10% เป็นต้น ก็เป็นปัญหาที่ "พลังประชารัฐ" แก้ไม่ตก
เรื่องนี้จอมเก๋าอย่าง "สมศักดิ์ เทพสุทิน" รมว.ยุติธรรม ที่หวนมานั่งประธานยุทธศาสตร์พลังประชารัฐ หน 2 ออกมาเตือนสติอย่างตรงไปตรงมาว่า การจะคิดได้ส.ส.จำนวนมาก สิ่งสำคัญคือนโยบายต้องถูกใจประชาชน คะแนนเสียงจะมาให้เอง ไม่ใช่นโยบายดี แต่ทำไม่ได้จริง
ที่สำคัญ "สมศักดิ์" ยังย้ำเรื่องความสามัคคี หากยังทะเลาะกันเอง คนจะพึ่งหวังจากเราไม่ได้ แต่หากหลอมรวมกันได้ในระยะเวลาอันสั้น การเลือกตั้งก็จะไม่มีปัญหา
ความท้าทายของ "พลังประชารัฐ" มีอยู่แทบทุกมิติ ตั้งแต่เรื่องแนวทาง ทีมยุทธศาสตร์วางนโยบายหาเสียง ที่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีตัวที่จะขับเคลื่อนงานส่วนนี้ ซึ่งต้องอาศัยคนที่มีฝีไม้ลายมือระดับเทพเข้ามาพลิกฟื้นสถานการณ์ เพราะสำหรับ "พลังประชารัฐ" เครดิตในเรื่องนโยบายหาเสียง ถึงวันนี้ก็ยังติดลบ พูดแล้วทำไม่ได้จริง
แล้วไหนจะเรื่องความไม่แน่นอนที่ต้องเผชิญ ถ้าอนาคต "พล.อ.ประยุทธ์" แยกทางไปอยู่กับพรรคใหม่ หรือกลุ่มก๊วนแกนนำแยกย้ายออกไป "พล.อ.ประวิตร" จะทำอย่างไร มีแพลนบีไว้หรือไม่ หรือมั่นใจว่าเงินและอำนาจจะทำให้ถึงเป้าหมายได้อยู่วันยังค่ำ
สภาพของ "พลังประชารัฐ" ตอนนี้จึงไม่เป็นที่น่ากังวลสำหรับพรรคคู่แข่งแม้แต่น้อย ดูได้จากกระแสการเลือกตั้งซ่อม ที่ผ่านมา แพ้ราบคาบทุกสนาม การระดมติดป้าย "บิ๊กป้อม" ทั่วอีสานยิ่งชี้วัดความนิยมได้เป็นอย่างดีว่าเรตติ้งแทบไม่มี ป้ายตามหมู่บ้านถูกทำลายยับเยิน จนคนของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคต้องฝากขอบคุณคนที่คิดเอาใจนายด้วยวิธีนี้เลยทีเดียว
ดังนั้น ลำพัง "พลังประชารัฐ" จะใช้ขุมกำลังที่มี ที่เปรียบเป็นเครื่องยนต์รุ่นเก่า สตาร์ทติดๆดับๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็อาจจะสู้พรรคอื่นที่ปรับทัพ จูนเครื่องยนต์ใหม่ไฮบริด หรือแบบอีวีได้ยากเข้าไปทุกวัน
ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าแกนนำพรรคบางคน ยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าตัวเลข 150 ส.ส. ที่ "บิ๊กป้อม" คุยโตจะคว้าได้นั้น จะเอามาจากที่ไหน เพราะเมื่อหันดูรอบตัว อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจให้ "พลังประชารัฐ" เสียเหลือเกิน