วัดพลัง ‘2ป.’ ดัน ‘หาร500’ จุดพลิกเกมพรรคใหม่ ‘ประยุทธ์’
ความพยายามเพื่อเขียนกติกา "เอื้อพวกเรา" เพื่อให้ "ประยุทธ์" และ "ก๊วน" กลับมาครองอำนาจได้อีกครั้ง ยังเกิดขึ้น ในการเขียนกติกา กฎหมายลูก โดยเฉพาะ สูตรคำนวณ ส.ส. ที่มีความพยายามดัน 500 หาร เพื่อเอื้อพรรคตั้งใหม่
การพิจารณา กติกาที่ใช้ในการเลือกตั้ง ของ “กรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา” ที่มี “สาธิต ปิตุเตชะ แกนนำประชาธิปัตย์” เป็นประธานกรรมาธิการ แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
และ วันที่ 24 พฤษภาคม เวลา 14.00 น. กรรมาธิการฯ นัดหมายจะส่งรายงานและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 ฉบับ ให้กับ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา เพื่อบรรจุเข้าวาระประชุม ให้ “รัฐสภา” พิจารณาวาระสองและวาระสาม ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน นี้
กับการทำงานของกมธ.ฯ นั้นเป็นไปตามกำหนดเวลา และบรรยากาศการทำงานร่วมกัน ของ ฝั่งฝ่ายค้าน ฝั่งรัฐบาล และ ฝ่ายวุฒิสภา เป็นไปอย่างราบรื่น เรียบร้อย
ทว่าดูสวนทางกับบรรยากาศนอกห้องกรรมาธิการฯ ที่ “สมาชิกรัฐสภา” จากฝั่งตัวแทน 2 ป. คือ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ต่างออกมาแสดงความเห็น ว่า “ร่างกติกาเลือกตั้ง” นั้น "จะไปไม่ถึงฝั่ง”
โดยเฉพาะ ประเด็นสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตาม ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กมธ.เสียงข้างมาก ให้ใช้จำนวน 100 คนหาร เพื่อหาคะแนนเฉลี่ยของส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคการเมืองที่ส่งลงเลือกตั้ง หรือ ยึดตามร่างพ.ร.ป. ที่รัฐสภารับหลักการ
ต่อประเด็นนี้ “พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์” ส.ว. เพื่อนป.ประยุทธ์ กมธ.เสียงข้างน้อย มองว่า สูตรคำนวณนี้ยังไม่จบ และอย่าด่วนสรุปว่าสูตรหาร 100 จะไม่พลิกไปเป็น 500 หาร และสำทับในความเห็นของกฎหมายว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ให้สิทธิพรรคเล็ก ได้เกิดในทางการเมือง และเป็นทางเลือกของประชาชน หากยึดสูตร 100 หาร จะทำให้ขัดเจตนารมณ์ที่ว่านี้
พร้อมกับมีการคาดเดาจากทิศทางนี้ว่า อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ “ร่างกติกาเลือกตั้ง” ที่พรรคการเมืองร่วมกันออกแบบ อาจถูกคว่ำ
ขณะที่ ตัวแทนของฝั่ง “ป.ประวิตร” ที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เคยออกมาให้ความเห็นในหลายวาระ ว่า “สูตรคำนวณด้วย 100 หารคือสิ่งที่ใช่”
และ สำทับกับ “ส.ส.จากหลายพรรคการเมือง” ที่เชื่อว่า "วิธีที่ร่างกฎหมายจะถูกคว่ำในชั้นรัฐสภา เป็นไปไม่ได้ เพราะใช้เพียงเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภารวมกัน ไม่แยกว่าต้องมี เสียง ส.ว.ร่วมด้วยหรือไม่"
หากตรวจสอบจากกติกาของการประชุมรัฐสภา พบว่า การออกเสียงเห็นชอบร่างพ.ร.ป. ตามมาตรา 132 (1) พบเกณฑ์เห็นชอบบของร่างพ.ร.ป. ต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา ปัจจุบันมีสมาชิกรวมกัน 725 คน แบ่งเป็น ส.ว. 249 คน ส่วน ส.ส. 476 คน ดังนั้นเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่ง จะเท่ากับ 364 คน
ขณะที่พรรคการเมืองหลัก ทั้ง เพื่อไทย, พลังประชารัฐ, ประชาธิปัตย์, ภูมิใจไทย , ชาติไทยพัฒนา, เศรษฐกิจไทย และ ก้าวไกล ที่มีเสียงรวมกัน 417 เสียง สนับสนุนแนวทาง "หาร 100”
เมื่อตรวจทานในประเด็นนี้จากผลลงมติสูตรคำนวณ หารด้วย 100 ของ กมธ. เมื่อ 12 พฤษภาคม ที่เสียงข้างมาก 32 เสียง มีทุกพรรคการเมือง และรวมถึง ฝั่ง กมธ.ตัวแทนกฤษฎีกา และส.ว. อีก 2 เสียง คือ “กล้านรงค์ จันทิก และ ประสิทธิ์ ปทุมารักษ์” ลงมติเห็นด้วย
ส่วน 11 เสียงไม่เห็นด้วย คือ ส.ว. 9 เสียง ซึ่งล้วนเป็นฝั่ง “เพื่อนประยุทธ์” พ่วงกับ 2นักการเมืองตัวแทนพรรคเล็ก คือ “ระวี มาศฉมาดล" และ "สมชัย ศรีสุทธิยากร”
ดังนั้น แม้ว่า ตัวแทน “ส.ว.” ข้างมากในกมธ.ฯ จะไม่เห็นด้วย จะไม่มีอิทธิพลใดให้ “ร่างพ.ร.ป.” ถูกคว่ำในรัฐสภา อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จากปรากฎการณ์ “เสียงแตกของส.ว.” ที่เกิดขึ้น ทำให้คอการเมือง เดาทางได้ว่า มีความขัดแย้งระหว่าง “ 2 ป.” เกิดขึ้นจริง จากความพยายามออกแบบกติกาเลือกตั้งให้สัมพันธ์กับการ “คืนสู่อำนาจ” ภายใต้กระแสข่าวที่ว่า “ประยุทธ์” ต้องการขับเคลื่อนการเมือง ผ่าน “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งเป็นพรรคเกิดใหม่ แทน “พลังประชารัฐ” ที่ "ป.ประวิตร” ยึด
กับสูตรคำนวณ หารด้วย 500 จะตอบโจทย์ให้กับพรรคตั้งใหม่ ได้มากกว่า อีกทั้งยังมีผลพลอยได้ คือ ขวาง “เพื่อไทย” ที่จะได้ “ส.ส.เพิ่มขึ้น” จาก "ระบบบัญชีรายชื่อ”
ซึ่งศึกชิงอำนาจ ผ่านการกำหนดกติกาเลือกตั้งครั้งนี้ แม้ “ส.ว.” จะถูกมองว่าไม่ใชตัวแปร แต่อย่าลืมว่า ยังมีชั้น “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่อาจจะเป็นจุดพลิกเกมได้ ในท้ายที่สุด.
