"สมชัย" ชี้ปรับกติกาเลือกตั้ง เอื้อพรรคใหญ่-จับตา2ลุงส่งสัญญาณ ตีตก กม.ลูก

"สมชัย" ชี้ปรับกติกาเลือกตั้ง เอื้อพรรคใหญ่-จับตา2ลุงส่งสัญญาณ ตีตก กม.ลูก

"สมชัย" ประเมินแก้กติกาเลือกตั้ง-2ร่างกม.ลูก เอื้อพรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.มากขึ้น ชี้มีสัญญาณตีตกร่างกม. แนะให้จับตม ท่าทีของ "2ลุง"

         นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ทั้ง 2 ฉบับ ที่จะใช้ในการเลือกตั้งส.ส.ที่จะมาถึง คือ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งล่าสุดกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา พิจารณาเนื้อหาแล้วเสร็จและเตรียมส่งให้ประธานรัฐสภาในสัปดาห์หน้า ว่า จากการแก้ไขกติกาเลือกตั้ง ทั้งบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ การนับคะแนนแบบคู่ขนาน และใช้สูตรคำนวณเพื่อหาส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยจำนวน  100 คนหารนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เช่น พรรคเพื่อไทย ส่วน พรรคพลังประชารัฐจะยังเป็นพรรคขนาดใหญ่หรือไม่ขอตั้งเป็นคำถาม ส่วนพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล ถือเป็นพรรคขนาดกลาง ซึ่งกลุ่มขนาดกลางและกลุ่มขนาดเล็ก เสียเปรียบภายใต้กติกาดังกล่าว 

 

 

         “การแก้ไขกติกาเลืกอตั้งไม่ได้ทำให้เกิดความยุติธรรมกับทุกพรรค แต่เป็นการสร้างทางเลือกให้พรรคใหญ่เข้มแข็ง และในสภาจะมีพรรคใหญ่ไม่กี่พรรค อีกทั้งภายใต้กติกาดังกล่าวจะทำให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียง ได้ส.ส.ในสภาทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อมากตามไปด้วย โดยคาดว่าโอกาสที่จะเกิดปรากฎการณ์เพื่อไทยแลนด์สไลด์ เป็นพรรคเดียวที่ได้ส.ส.เกินครึ่งของสภาฯ เกิดขึ้นได้” นายสมชัย กล่าว

         นายสมชัย กล่าวด้วยว่าแนวโน้มอนาคตการเมือง อาจมีพรรคการเมืองเป็นระบบ 2 พรรคใหญ่ที่มีแนวความคิดต่างกัน เหมือนกับประเทศสหรัฐอเมริกาที่มี 2 พรรคใหญ่ ผลัดกันเป็นรัฐบาล ส่วนพรรคอื่นต้องล้มหายตายจากไป  

 

         เมื่อถามถึงภาพของการเมืองไทยหลังจากมีกติกาเลือกตั้งแบบใหม่ นายสมชัย กล่าวว่าภาพในระยะสั้น ยังต้องจับตาการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ฉบับที่จะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในวาระสองและวาระสาม โดยเฉพาะสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่หารด้วย 100 คน ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากส.ว. และเชื่อว่ามีส่วนสำคัญต่อการลงมติ ที่อาจเป็นไปได้ว่าจะตีตกร่างกฎหมายทั้งในมาตราที่เกี่ยวข้องหรือทั้งฉบับ

         “คะแนนลงมติที่ตัดสินว่าจะผ่านวาระสองและวาระสาม ใช้ข้างมากของที่ประชุม สำหรับเสียง ส.ว. รวมกันคือ  1 ใน 3 ของสภา และในขั้นการโหวตของกมธ. วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป. ที่ ส.ว.เสียงแตก ได้มีการคุยกันว่าเพราะลุงสองคนส่งสัญญาณไม่ชัดเจน ไม่คุยกันให้ดี ทำให้ พรรคพลังประชารัฐ หนุน 100 คนหาร แต่ส.ว. ไม่สนับสนุน ดังนั้นในอนาคตต้องดูว่าสองลุงจะคุยกันหรือไม่หรือส่งสัญญาณที่ชัดเจนอย่างใดหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการลงมติของ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ด้วย” นายสมชัย กล่าว

 

         นายสมชัย กล่าวด้วยว่า ส่วนระยะยาวหากเปลี่ยยนแปลงกติกา สิ่งที่จะเกิดกับการเลือกตั้งทั่วไป พรรคที่ตั้งใหม่ และพรรคเล็ก ต้องหาทางให้ตนเองอยู่รอด เช่น รวมกับพรรคใหญ่เพราะเชื่อว่าพรรคตั้งใหม่ หรือขนาดเล็กจะได้คะแนนเลือกตั้งไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้ส.ส.เข้าสภา ซึ่งมีการประเมินว่าต้องได้ 3.5 แสนคะแนน ถึง  3.7แสนคะแนน  ขณะที่พรรคที่ไม่ใช่พรรคขนาดใหญ่ ในการหาเสียง ต้องสร้างการยอมรับของประชาชนในวงกว้างให้คะแนนนิยมของพรรค มีส่วนทำให้มาช่วยได้รับการเลือกตั้งเขต และได้บัญชีรายชื่อที่มากขึ้น แต่เหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะพรรคใหญ่ได้เปรียบ ทั้งผู้สมัคร ส.ส. แถวหน้าของจังหวัดจะไหลเข้าพรรค รวมถึงทุน ที่คาดการณ์ว่าพรรคใหญ่ได้เป็นรัฐบาลในอนาคต ดังนั้นพรรคใหญ่จึงได้เปรียบทั้งในเชิงกติกา และคัดหาผู้สมัครและทุนจากฝ่ายนักธุรกิจ.