ม้วนเดียวจบ “ชัชชาติ” ฟีเวอร์ ข้ามการเมือง"สุดขั้ว” หมดยุค “สุดโต่ง”
เมื่อ “ชัชชาติ” กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สะเทือนไปทุกองคาพยพ และกำลังท้าทายชุดความคิดเดิมๆ ของนักการเมืองหลากขั้ว ให้ต้องรีบปรับตัวกันขนานใหญ่ ก่อนที่จะไม่มีพื้นที่ให้เหยียดยืนอีกต่อไป
เรียกว่าตำแหน่ง “ผู้ว่าฯกทม.” ของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” หากได้รับการรับรองจาก “กกต.” อย่างเป็นทาง สามารถนิยามได้อย่างชัดเจนว่าขาเก้าอี้ตัวนี้เสริมใยเหล็ก จนแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
เมื่อชนะศึกเลือกตั้งแบบม้วนเดียวจบ เป็นตัวเต็งตั้งแต่เปิดตัว จนกระทั่งปิดหีบเลือกตั้ง ได้คะแนนเสียงจากคนกรุงเทพฯ ที่เทให้อย่างท่วมท้น สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โกย คะแนนอย่างไม่เป็นทางการไปถึง 1,386,215 กลายเป็นกระแส “ชัชชาติ” ฟีเวอร์ คนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง
ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับ 2 อย่าง ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ มากถึง 1,131,568 คะแนน
สะท้อนความคาดหวังของคนเมืองหลวงที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฉันทามติของคนส่วนใหญ่ตรงนี้เองจะเป็นตัวผลักดันและปกป้อง “ชัชชาติ” เพื่อให้การทำงานลุล่วงตามแผน
ต่อไปนี้หน่วยงาน หรือบิ๊กคนใดก็ตาม ที่ กทม. ภายใต้การนำของ “ชัชชาติ”ต้องประสานงานด้วย คงไม่กล้าทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวาง การเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้ เพราะนั่นเท่ากับขัดขวางความต้องการ และเผชิญแรงเสียดทานของคนเกือบ 1.4 ล้านคนเลยทีเดียว
ความสำเร็จของ “ชัชชาติ” จึงน่าสนใจ เพราะเป็นการพลิกโฉมการเมืองไทย ชนิดที่อาจไม่มีวันหวนกลับ ด้วยกระแสและความเป็น “ชัชชาติ” ทำให้คนกลุ่มใหญ่ตัดสินใจง่ายขึ้น และมีข้อสังเกตหนึ่งว่า เมื่อลองถามบรรดาคนรู้จัก ต่างบอกว่าเลือก “ชัชชาติ” อย่างไม่เขอะเขิน เหตุผลหนึ่งเพราะอาจไม่ถูกตั้งคำถามเหมือนการเลือกแคนดิเดตคนอื่นๆ และด้วยภาพลักษณ์ เมื่อพูดชื่อนี้ไปใครก็ยอมรับ
แล้วถ้าดูภาพรวมจะเห็นว่า คะแนนเสียงที่เทให้ “ชัชชาติ” โยกสลับข้ามขั้วกันอุตลุดไม่เฉพาะคนที่เคยเลือกพรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นพรรคก้าวไกล ในปัจจุบัน แต่คนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคพลังประชารัฐ ด้วยกระแส “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คะแนนส่วนนี้จำนวนไม่น้อยไหลไปกองที่ “ชัชชาติ” เห็นได้จากคะแนนผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ของสองพรรคดังกล่าวที่ลดลงฮวบฮาบ
นอกจากนั้น ยังพออนุมานได้ว่า โหวตเตอร์ที่เคยเป็นฐานสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อเหลือง อย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กปปส. จำนวนไม่น้อย ที่อดีตแกนนำต่างชูประเด็นโหวตอย่างมียุทธศาสตร์ ก็ปลุกกระแสไม่ขึ้น ผู้สมัครที่คนกลุ่มนี้เชียร์ ได้คะแนนเสียงต่ำกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก เพราะถูกเทมาสนับสนุน “ชัชชาติ” เป็นที่เรียบร้อย
ไม่เว้นแม้แต่คนเสื้อแดง หรือแฟนคลับเพื่อไทย ก็เทคะแนนให้ “ชัชชาติ” อย่างเต็มเหนี่ยวเช่นเดียวกัน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัยว่า คนกรุงเทพฯ คิดอ่าน ต้องการจะบอกอะไร ซึ่งมักทำอะไรที่คิดไม่ถึงผ่านการเลือกตั้งเสมอ
สิ่งสำคัญการขับเคลื่อนทางการเมืองแบบสุดโต่ง ชนิดซ้ายสุดขั้ว ขวาสุดขีด แบบเดิม คนกรุงเทพฯ คงรู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่า เป็นกับดักทำให้ประเทศติดหล่ม ก้าวไปข้างหน้าไม่ได้
การตัดสินใจของ “ชัชชาติ” ที่ลงในนามอิสระ และทุกองค์ประกอบที่ทำมา เลยตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ในเรื่องการทำงาน ทำการบ้าน มากกว่าการทำการเมืองเพียงอย่างเดียว
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง เอาเข้าจริงก็อาจจะต้องมาขบคิดให้หนักว่า ถ้า “ชัชชาติ” ตัดสินใจลงในนามพรรค จะประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้หรือไม่ และถ้าไม่ เพื่อไทยกำลังเผชิญความท้าทายอะไรในอนาคต
ดังนั้น เมื่อ “ชัชชาติ” กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สะเทือนไปทุกองคาพยพ และกำลังท้าทายชุดความคิดเดิมๆ ของนักการเมืองหลากขั้ว ให้ต้องรีบปรับตัวกันขนานใหญ่ ก่อนที่จะไม่มีพื้นที่ให้เหยียดยืนอีกต่อไป