ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืน รฟท.ฟ้องเพิกถอนรับรอง "โฮปเวลล์"
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนคดี "รฟท." ฟ้องเพิกถอนรับรอง "โฮปเวลล์" เหตุรฟท.ยื่นฟ้องคดีเกิน 90 วัน ตามกฎหมายกำหนด
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2565 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ในคดีที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยื่นฟ้องนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้เพิกถอนการรับจดทะเบียนบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เนื่องจากเห็นว่าการรับจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2533 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งของนิติบุคคลนั้นเป็นของคนต่างด้าว มีคนต่างด้าวถือหุ้นตั้งแต่กึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ถือหุ้นอยู่ในความหมายเป็นคนต่างด้าว ตามข้อ 3 ของประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 จึงต้องห้ามมิให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนนิติบุคคลต่างด้าวที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการขนส่งทางบก
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า กรณีดังกล่าว รฟท.ได้มีหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร และอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ลงวันที่ 19 พ.ย.63 ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้มีหนังสือปฏิเสธ ลงวันที่ 9 ธ.ค.62 ทำให้ รฟท.นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.63 ทั้งนี้คำฟ้องดังกล่าวเป็นการฟ้องในข้อหาคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (2) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งมีกำหนดว่าจะต้องนำคดีมาฟ้องภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนด 90 วัน ที่ได้มีหนังสือร้องต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
แต่ รฟท.ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวเป็นเวลาเกินกว่า 90 วันแห่งการฟ้องคดี ประกอบกับการฟ้องคดีนี้ไม่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและไม่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยหากเป็นประโยชน์เฉพาะ รฟท.เอง อีกทั้งไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใดที่ทำให้ต้องฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ดังนั้นการที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่วยคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย