"อภิสิทธิ์" ฟันธง​เลือกตั้งหน้า "เพื่อไทย" มาแน่ แต่ต้องเผชิญปัญหา "ส.ว."

"อภิสิทธิ์" ฟันธง​เลือกตั้งหน้า "เพื่อไทย" มาแน่ แต่ต้องเผชิญปัญหา "ส.ว."

"อภิสิทธิ์" มองอนาคตการเมืองไทย รัฐบาลพยายามอยู่ครบเทอม เลือกตั้งหน้า "เพื่อไทย" ตั้งรัฐบาล แต่อาจเผชิญปัญหากับ "ส.ว." ปมเลือกนายกฯ ชี้ต้องแก้ ม.272 เพื่อตัดเงื่อนไขขัดแย้ง

          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ทิศทางการเมืองและอนาคตการเมืองไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่าตนขอแสดงมุมมองส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้เมื่อปลายปี 2564 ช่วงที่ตนออกมาจากการเมือง ให้สัมภาษณ์นักศึกษาที่ทำวิจัย ในคำถามว่า วัฏจักรการเมืองไทย ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยในที่สุดใครชนะ เพราะช่วงนั้นมีปรากฎการว่าความถดถอยประชาธิปไตยเกิดขึ้นทั่วโลก โดยตนตอบว่า ประชาธิปไตย หลายคนเคยคิดว่าเมื่อเริ่มเกิดขึ้นจะดำรงตอยู่ในตัวของมันเองได้ แต่เราเรียนรู้ว่าการสูญเสียประชาธิไตยเกิดขึ้นได้ เพราะประชาาชนไม่สามารถปกป้องประชาธิปไตยจากภัยคุกคามด้านต่างๆ ทั้ง ประชานิยม เผด็จการทหาร ชาตินิยม ดังนั้น ประชาธิปไตยไม่ได้สิทธิที่ดำรงต่อไปได้ แต่สิ่งที่ชัดเจน คือ  เผด็จการอยู่ไม่ได้ จะเจอจุดจบเพราะไม่อิงกับหลักการ หรืออิงกับประชาชน เพราะเผด็จการนั้นอิงกับบุคคล กับอำนาจ อย่างไรต้องมีวันเสื่อม

 

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ช่วงสองปีต่อจากนี้ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง ผมเชื่อว่ารัฐบาลและนายกฯ ปัจจุบันจะพยายามอยู่ครบเทอม เพราะไม่มีเหตุผลที่รัฐบาล หรือนายกฯ ต้องการให้เลือกตั้งเร็ว  เนื่องจากระยะเวลาที่เหลือไม่ถึง1ปี มีความสำคัญคือรัฐบาลจะเผชิญความลำบากจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม ที่ไม่เอื้อให้รัฐบาลได้รับความนิยม ขณะเดียวกันฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นกัน เพราะฝ่ายค้านเชื่อว่ารัฐบาลจะเจอปัญหาที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าความได้เปรียบจะอยู่ที่พรรคฝ่ายค้านชัดเจน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย 

          “เนื่องจากกติกาเลือกตั้งเปลี่ยน ไม่มีสูตรคำนวณแบบพิสดารที่ทำให้รัฐบาลปัจจุบันรวบรวมเสียงข้างมากได้ แม้มีพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้เสียงเพิ่ม คือพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่จำเป็นรีบร้อนเพื่อข้าสู่การเลือกตั้ง ขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยังเป็นเป็นพรรรคตัวแปรสำคัญ  เป็นพรรคใหญ่ลำดับต้นๆ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่ากรณีจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ เทียบไม่ได้กับปัญหาสำคัญ คือ มาตรา 272 ให้อำนาจส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งร่วมเลือกนายกฯ หากไม่แก้ไขก่อนเลือกตั้งอาจทำให้เกิดปัญหา การเผชิญหน้าระหว่างเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้ง กับส.ว. 250 คน แม้ในหลักการ ส.ว.จะต้านทานไม่ได้ แต่ไม่ราบรื่น  และอาจเป็นระเบิดเวลาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเหมือนปี 2535 ได้

 

          "ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะคงมาตราดังกล่าวให้เป็นปัญหาหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่างไรก็ดีการแก้ไขมาตราดังกล่าวมีภาคประชาชนเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแล้ว ดังนั้นจะเป็นจุดชี้วัดว่าพรรคต่างๆจะสนับสนุนการแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตหรือไม่ แม้ทุกพรรคสนับสนุน ตามเงื่อนไขต้องให้ส.ว. ที่นายกฯ แต่งตั้ง ร่วมเห็นชอบด้วย ดังนั้นเรื่องดังกล่าวหัวใจสำคัญอยู่ที่นายกฯ ว่าจะต้องการปลดล็อคเงื่อนไขขัดแย้งด้วยการคุยกับส.ว.หรือไม่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

        อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่าสำหรับระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงเป็นบัตรเลือกตั้ง 2ใบ และแก้ไขสูตรคำนวณส.ส. ให้ใช้สูตรหารด้วยจำนวน 100 คน ทำให้ พรรคก้าวไกล และพรรคพลังประชารัฐ จะได้รับผลกระทบรุนแรง และจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีปัญหา  โดยตนเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งพรรคฝ่ายค้านปัจจุบันจะได้เป็นฝ่ายเสียงข้างมาก แต่ปัญหาจะจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างไร หากมาตรา 272 ยังคงอยู่และรวมถึงมาตรา 271 ที่ให้อำนาจ ส.ว.หลายเรื่อง และอย่าลืมว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ว.ปัจจุบันจะมีวาระ 1 ปีของรัฐบาลหน้าหากพรรคซีกฝ่ายค้านตั้งรัฐบาลได้ ต้องดูท่าทีของส.ว.ว่าจะเป็นปัญหาของการจัดตังรัฐบาลใหม่ หรือมีกลไก ทั้ง กฎหมายปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ อาจยกเป็นเงื่อนไขทำให้รัฐบาลชุดใหม่มีปัญหาได้ ดังนั้นอาจต้องใช้การประนีประนอม 

 

 

          นายอภิสิทธิ์ กล่วาด้วยว่าการประนีประนอมมีหลายแบบ เช่น การประนีประนอมเชิงผลประโยชน์ กล่าวคือ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล อาจตัดสินใจประนีประนอมบางอย่าง กับฝ่ายผู้มีอำนาจปัจจุบัน ตั้งแต่ การเลือกพรรคร่วมรัฐบาล เลือกนโยบายวาระต่างๆ โดยตนมองว่าประนีประนอมเพื่อเสถียรภาพเฉพาะหน้าเป็นผลดีต่อการลดบรรยากาศขัดแย้ง แต่หากมองไปไกล การประนีประนอมนั้น อาจทำให้วาระของฝ่ายหัวก้าวหน้าถูกละเลย  เช่น ความต้องการความเป็นธรรมในเศรษฐกิจ การเปลี่ยนยแปลงในสังคม การตั้งคำถามกับบทบาทของสถาบันหลัก ดังนั้นหากเรื่องดังกล่าวาไม่นำมาพูดคุย ใช้ระบอบประชาธิปไตยในรัฐสภาแลกเปลี่ยน หาทางออก อาจกลายเป็นระเบิดเวลาต่อไป

 

 

          นายอภิสิทธิ์ กล่วาด้วยว่า หากไม่มีการประนีประนอม และพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลได้จริง วาระของพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการบริหารที่ยึดผลประโยชน์ของครอบครัว โดยที่ผ่านมาไม่มีแกนนำพรรคเพื่อไทยตอบโต้เรื่องดังกล่าวพร้อมยืนยันว่าไม่มี จะไม่ทำ ด้ังนั้นจึงกลายเป็นเรื่องน่าห่วง 

 

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าแม้การจัดตั้งรัฐบาลราบรื่น สุดท้ายต้องมาจบลงที่ว่า เรื่องรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร ปีแรกอาาจจะยากเพราะมีส.ว.อยู่ แต่หลังจากนั้นที่จะเกิดการสรรหาส.ว.ชุดต่อไป จะมีความสำคัญ เพราะการเมืองไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลแต่ต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้ได้รัฐธรรมนูญที่ดี สร้างกติกาใหม่ ผ่านการเรียนรู้และยอมรับความผิดพลาดว่าทุกฝ่ายมีส่วนผิด จากนั้นจึงเรียนรู้เพื่อออกแบบระบบที่ยั่งยืน เช่นเดียวกันบทบาทของส.ว.ที่ต้องพิจารณาในแง่ความยึดโยงในองค์กรต่างๆ ที่ไม่ทำให้เกิดการแทรกแซงในองค์กร

   

 

          “การปลดล็อคความขัดแย้งจากมาตรา 272 เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วมีรัฐบาลจากความต้องการประชาชน กระบวนการรัฐบาลเป็นธรรมเสมอภาคจริง รัฐบาลาที่เข้ามาไม่มีวาระที่เกี่ยข้องกับผลประโยชน์กลุ่มพวกพ้อง จากนั้นนำไปสู่การช่วยทำกติกาใหม่ เก็บบทเรียนจาก 90 ปี แสวงหาความสมดุลเพื่อประคองประชาธิปไตยให้เดินหน้าได้อย่างไร  ผมเชื่อและมีความหวังว่า ความต้องการประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการนำไปสู่การเสริมความเข้มแข็ง ประชาธิปไตย ซึ่งจะช้า าหรือเร็ว หรือราบรื่น อยู่ที่สถานการณ์แต่ละช่วง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

 

          ทั้งนี้ในช่วงท้ายนายอภิสิทธิ์ ฝากความเห็นเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ว่า สื่ออาชีพหรือสื่อวิชาชีพต้องตอบคำถามให้ได้ในท่ามกลางของการเสพข้อมูลที่เปลี่ยนไป อะไร คือ ความแตคกต่างระหว่างสื่อวิชาชีพ กับคนทีโพสต์ข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์ หากสื่อทำได้ แค่อ่านโพสต์ ตอบโต้ ไม่จำเป็นต้องมีสื่อสารมวลชน เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนหาได้ ดังนั้นบทบาทที่สำคัญ คือ สร้างความเป็นวิชาชีพสื่อสร้างคุณค่าสื่ออาชีพ 

 

          “ผมทราบว่าสื่อถูกกดดันปัจจัยทางธุรกิจ มาถึงจุดที่มีคนมาบอกว่าสื่อวันนี้อยู่รอดได้ ทำได้สองอย่าง คือ  อย่ายุ่งการเมือง  หากยุ่งเป็นสื่อเลือกข้าง เพื่อให้มีตลาดแน่นอน ผมอยากให้สื่อมวชชนกันคิดว่าอย่าให้เหลือสองทางเลือก ความแตกแยกในสังคมมีมากขึ้นและทำให้ภารกิจสร้างประชาธิปไตยและระบบการเมืองยิ่งยากขึ้น สื่อมีบทบทาสำคัญทำตรงนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว