“ก้าวไกล” ปักธงรบเครือข่าย “พรรคแบงก์พัน” แก้เกมสู้สูตรหาร 500
“ในการเลือกตั้งปี 2562 มีเขตเลือกตั้งที่พรรค ทษช.ถูกตัดสิทธิ และมีเสียงจำนวนหนึ่งเทมาให้พรรคอนาคตใหม่ อย่างไรก็ดีในปัจจุบันหากหักคะแนนเสียงของ ทษช.ออกไป ความนิยมของพรรคเราไม่ได้น้อยกว่าพรรคอนาคตใหม่เลย นั่นหมายความว่าเรามีคะแนนเสียงของเราเองเพิ่มขึ้น”
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าสปอตไลท์ทางการเมืองฉายแสงไปยังที่ประชุมร่วมรัฐสภา ภายหลัง “คว่ำกระดาน” พลิกเกมเปลี่ยนสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ จากเดิมใช้วิธีหาร 100 เป็นหาร 500 มาใช้แทน
ทำเอาบรรดา “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” ทั้ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคก้าวไกล” ออกโรงดาหน้าถล่มว่าเป็น “มติอัปยศ” โอบอุ้ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สืบทอดอำนาจได้ต่อไป โดยเตรียมจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยการกระทำดังกล่าวด้วยว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” ที่อาจปัดฝุ่นฟื้นยุทธการ “แตกแบงก์พัน” กลับมาใช้ใหม่ หลังเคยใช้ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 คือ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเกิด “อุบัติเหตุทางการเมือง” ในปรากฎการณ์ 8 ก.พ. จนทำให้ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค เนื่องจากกระทำการเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อการปกครอง
มาคราวนี้แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน แบไต๋ว่าอาจแก้เกมสูตรหาร 500 ด้วยการตั้ง “พรรคพี่-พรรคน้อง” ขึ้นมา โดยอาจใช้ชื่อ “พรรคครอบครัวเพื่อไทย” มาเป็นพรรคน้องเพื่อส่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ อย่างเดียว ส่วน “พรรคเพื่อไทย” เน้นกวาด ส.ส.เขต พร้อมกับยืนยันว่าไม่ว่าจะใช้สูตรก็จะ “แลนด์สไลด์” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากให้ได้
ทำเอาบรรดาพรรคฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายตรงข้าม ออกโรงวิพากษ์วิจารณ์ “พรรคเพื่อไทย” อย่างหนักว่า การกระทำดังกล่าวอาจสุ่มเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญ และขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ ได้ เนื่องจากเป็นการ “ครอบงำ” พรรคการเมืองอื่น
อย่างไรก็ดี “พรรคก้าวไกล” มองอีกมุมหนึ่งว่า สูตรหาร 500 ดังกล่าว ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างมาก หากท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าไม่อาจทำได้ ต้องกลับไปแก้ไขใหม่ อาจทำให้เกิด “สุญญากาศ” ทางการเมือง ส่งผลให้ “บิ๊กตู่” สามารถรักษาการอยู่ในอำนาจต่อไปได้เรื่อย ๆ เพื่อรอให้แก้ไขกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จก่อน
“ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล อธิบายถึงการแก้เกมดังกล่าวว่า พรรคต้องทำงานหนักขึ้นอย่างมาก ในการสู้ในระบบ ส.ส.เขต เพราะไม่ว่าระบบการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ส.ส.เขตยังคงสำคัญที่สุด เป้าหมายของ “ก้าวไกล” คือการขยาย ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด และควรจะมากกว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ
“ถ้าเราต้องการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต้องมี สส เขตเยอะ ไม่ใช่มี ส.ส. บัญชีรายชื่อเยอะ อันนี้คือทิศทางของเราอยู่แล้ว ต้องย้ำว่า เราไม่ได้สนับสนุนการหาร 500 อย่างที่เกิดขึ้น เพราะว่าการแก้เป็นหาร 500 ที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของประยุทธ์ในการสืบทอดอำนาจต่อ แล้วซ้ำร้ายทำให้ระบบการเลือกตั้งมีปัญหา เพราะว่า ระบบการเลือกตั้งนอกจากจะขัดกับรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีวิธีการคิดคำนวณพิสดาร เพราะรัฐธรรมนูญแก้มาให้ใช้ระบบคู่ขนาน ไม่ว่าจะเป็นลด ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาเป็นคิดคำนวณสัดส่วนโดยตรง พอเปลี่ยนเป็นหาร 500 แล้วใช้สัดส่วนผสม มันเป็นลูกผสม มันเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำ การออกแบบระบบเลือกตั้งที่ใช้สัดส่วนผสม ไม่ใช่แค่หาร 100 หรือ 500 แต่มีรายละเอียดอีก จึงกลายเป็นลูกผีลูกคน ไม่ใช่ระบบเลือกตั้งที่ดีแน่” นายชัยธวัช กล่าว
เลขาธิการพรรคก้าวไกล มองด้วยว่า เมื่อเปลี่ยนสูตรคำนวณแบบนี้ ทำให้มีปัญหาเรื่องคำนวณ ส.ส.แน่นอน และอาจทำให้การเมืองไทยในระบอบรัฐสภาผิดเพี้ยนไป เพราะอาจเกิดช่องโหว่ในการจัดตั้งพรรคพี่พรรคน้อง แทนที่จะส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง ทำให้เป็นสถาบันการเมือง แต่กลายเป็นไม่ให้ความสำคัญกับพรรค กลายเป็นใช้กลวิธีอย่างไรก็ได้ให้มี ส.ส.เยอะที่สุดในค่ายตัวเอง ทำให้การเมืองระบบรัฐสภาเสียหาย นี่ยังไม่นับว่าหากสูตรหาร 500 ถูกคว่ำในศาลรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่สุญญากาศทางกฎหมายหรือไม่ จะเกิดการยุบสภาหรือเปล่า
ด้านแหล่งข่าว “ระดับนำ” ในพรรคก้าวไกลรายหนึ่ง ให้ความเห็นถึงสูตร “แตกแบงก์พัน” ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่ามาจากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ว่า การเปลี่ยนสูตรหาร 500 ดังกล่าว กลายเป็นช่องโหว่ในการเมืองไทยในระบบรัฐสภา ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ แทนที่จะทำให้เป็นสถาบันทางการเมือง
แหล่งข่าว ระบุว่า พรรคก้าวไกลคงไม่ไปทำเช่นนั้น เพราะยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่คือ การสร้างสถาบันการเมืองของประชาชนให้เข้มแข็ง แต่พอเกิดการเปลี่ยนสูตรคำนวณ ส.ส. จะส่งผลสะเทือนในเรื่องนี้อย่างมาก เกิดการชี้ช่องชี้นำไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านบางพรรคก็อยากทำ หรือพรรคแนวร่วมรัฐบาลก็อยากทำ เพียงเพื่อต้องการให้มี ส.ส.ในมือมากสุด จะทำให้ระบบรัฐสภาเกิดวิกฤติยิ่งกว่าที่ผ่านมา
ส่วนเสียงเล่าอ้างว่า “พรรคเพื่อไทย” อาจไม่เอา “พรรคก้าวไกล” มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น แหล่งข่าว ระบุว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกลคงจะไปก้าวก่ายเรื่องของพรรคอื่นไม่ได้ แต่หากดูเจตนารมณ์ของประชาชน ล้วนอยากเห็นพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า เพื่อเข้ามาแทนที่ขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นพรรคอื่นจะเป็นอย่างไร เราไม่ทราบ แต่เราชัดเจนกับเป้าหมายคราวหน้าว่า ต้องรวมพลังกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเปลี่ยนขั้วรัฐบาลให้ได้ และเราพร้อมจับมือกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาล
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของ “พรรคก้าวไกล” ในช่วงเวลา นี้อาจเทียบกับสมัย “พรรคอนาคตใหม่” ที่มี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นตัวชูโรงไม่ได้
แหล่งข่าวรายนี้ อธิบายว่า ต้องยอมรับว่าในข้อเท็จจริงกระแสความนิยมของพรรคก้าวไกล หลายคนอาจมองว่าน้อยกว่าพรรคอนาคตใหม่ แต่ในข้อเท็จจริงอีกด้าน เราเชื่อว่าการทำงานของเราตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน 3 ปีกว่า พิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่า พรรคเราเป็นอย่างไร ทำให้คนจำนวนมากจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่อาจลังเลกับพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจเทคะแนนให้กับพรรคก้าวไกลมากขึ้นก็เป็นไปได้
แหล่งข่าวรายนี้ ระบุด้วยว่า หากมองจากโพลหลายสำนักจะเห็นว่าคะแนนนิยมของเราค่อนข้างนิ่งแล้วคือราว 17-18% เรียกได้ว่าเท่า ๆ หรือมากกว่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้ว่าในการเลือกตั้งปี 2562 มีเขตเลือกตั้งที่พรรค ทษช.ถูกตัดสิทธิ และมีเสียงจำนวนหนึ่งเทมาให้พรรคอนาคตใหม่ อย่างไรก็ดีในปัจจุบันหากหักคะแนนเสียงของ ทษช.ออกไป ความนิยมของพรรคเราไม่ได้น้อยกว่าพรรคอนาคตใหม่เลย นั่นหมายความว่าเรามีคะแนนเสียงของเราเองเพิ่มขึ้น ดังนั้นโจทย์คือเวลาที่เหลืออีกไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าคือ ทำอย่างไรให้ได้คะแนนมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก นั่นเป็นเหตุผลให้ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม
ทั้งหมดคือความเคลื่อนไหว-ทัศนะของ “พรรคก้าวไกล” หนึ่งในแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในห้วงเวลาความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับสูตรหาร 500 ถูกปัดฝุ่นนำกลับมาใช้อีกครั้ง การแก้เกมพลิกเหลี่ยมปักธงรบในการเลือกตั้งครั้งหน้าของบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายต่าง ๆ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง