"นิพนธ์"รับ “ส.ส.ปชป.” แหกมติพรรคโหวตสวนศึกซักฟอก-ขู่ต้องยึดระเบียบพรรค

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเตรียมสู้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า เตรียมข้อมูลตามญัตติที่เขียนไว้ก็ต้องไล่ตามประเด็นที่เขียนไว้ในทุกประเด็นตามที่คาดการณ์ เขียนไว้อย่างไรก็ตอบไปตามญัตติ

สำหรับกังวลเสียงของพรรคประชาธิปัตย์อาจไม่เป็นเอกภาพหรือไม่ นายนิพนธ์ ยอมรับว่า คิดว่าคนที่มีปัญหาก็ยอมรับว่ามีปัญหา และต้องพยายามพูดคุยกันายในพรรค แต่ถ้าสุจวิสัยจริงๆ ก็เอาเท่าที่ได้ ตนไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ส่วนจะถึงขั้นคาดโทษหรือไม่หากเสียงไม่เป็นเอกภาพนั้น มองว่าการลงมติเป็นเอกสิทธิ์ แต่ในพรรคก็ต้องมีระเบียบวินัย 

“หากไม่มีระเบียบพรรคก็อยู่ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพเอกสิทธิ์ แต่อีกส่วนหนึ่งเราเป็นพรรคการเมืองก็มีระเบียบ ทั้งนี้ยอมรับว่าในการอภิปราย 3 ครั้งที่ผ่านมามีปัญหา หากมีปัญหาอีกครั้งนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่พยายามพูดุยกันอยู่และคิดว่าบางคนพยายามอธิบายเหตุผล แต่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่พรรคการเมืองอยู่ได้ต้องมีระเบียบของพรรค”
 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียงที่มีปัญหายังคงเป็น นายพินิต วิกิตเศรษฐ์ และนายอันวาร์ สาและ ใช่หรือไม่ นายนิพนธ์ กล่าวว่า ไม่อยากเจาะจงใคร ทุกคนเป็นผู้ใหญ่แล้วและเป็นส.สการพูดจาก็ฟังเหตุฟังผลกันและเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าทำใจได้แล้วใช่หรือไม่ นายนิพนธ์ กล่าวยอมรับว่า ครับ

เมื่อถามว่า ขณะที่ความกังวลเสียงของพรรคเล็กกลุ่ม 16 นั้น  นายนิพนธ์ กล่าวว่า การเมืองต้องฟังทุกฝ่ายและเก็บทุกประเด็น อะไรชี้แจงได้ก็ชี้แจงได้แน่นอน ส่วนเชื่อมั่นว่ากลุ่ม16 เทคะแนนให้หรือไม่นั้น ตนคิดว่าอธิบายด้วยเหตุผลและครั้งที่แล้วก็ได้เห็นแล้วว่าการลงคะแนนเป็นอย่างไร ครั้งนี้ก็คงเป็นทำนองเดียวที่ผ่านมา แต่คะแนนจะให้เท่ากันผมดคงไม่ได้อยู่แล้วเป็นปกติของระบอบ ประชาธิปไตยแต่สิ่งที่สำคัญคือคะแนนไว้วางใจต้องเกินกึ่งหนึ่ง 
 

“ส่วนที่กลุ่ม16 ประกาศว่า รัฐมนตรีบางคนถึงขั้นต้องหลุดจากตำแหน่งนั้น ถ้าติดตาม 3 ครั้งที่ผ่านมาพูดทำนองนี้ทุกครั้ง รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายต้องเตรียมข้อมูลอย่างดีที่สุดชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล เชื่อว่าทุกคนจะอธิบายและทำความเข้าใจประชาชนได้”

นายนิพนธ์ กล่าวถึงคลิปโปรโมทยุทธการเด็ดหัวสอยนั่งร้านของพรรคเพื่อไทย ว่า มองว่าเป็นวิธีการโปรโมท และพยายามเปลี่ยนรูปแบบ แต่ทั้งหมดไม่สำคัญเท่าเนื้อหาที่พูดในสภา นอกสภาทำอะไรก็ได้ แต่ระบอบประชาธิปไตยต้องพูดกันในสภา