พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.” 3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่

พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.”  3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่

แนวคิด "ฟื้นระบบบัตรใบเดียว" โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามขั้นตอน "สามารถทำได้" แต่ "ทำได้" ไม่ง่ายนัก เมื่อมีเงื่อนไขตามกฎหมายและมิติทางการเมืองนอกสภาฯ เป็นตัวกำกับ

        ใช่ว่าจะไม่มีทาง ที่ระบบเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” และ “บัตรเลือกตั้งใบเดียว” จะฟื้นคืนชีพ

 

        หาก “แกนนำรัฐบาล” ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์​ เผ่าจินดา จับมือ พยักหน้าตรงกันว่า อยากให้กลับไปสูตรเลือกตั้งเดิมที่ปูทางให้ “คสช.” กลับมาคุมอำนาจในฝั่งบริหาร และนิติบัญญัติอีกครั้ง

 

        ไม่มีทางที่ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาจะไม่เอาด้วย

 

        ทว่า เส้นทางที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย ของ “3 ป.” นั้น ไม่ง่ายนัก เพราะตามกลไกของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ในหมวดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เขียนเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ในแต่ละครั้งต้องได้รับ “ฉันทามติ” จากที่ประชุมรัฐสภา และทุกฝ่ายที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียทางการเมือง ต้องออกเสียง “เห็นชอบด้วย” อย่างมีนัยสำคัญ

พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.”  3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่

        เงื่อนไขแรก คือ การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐสภา หากจะใช้เสียง ส.ส.ต้องมีเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 96 คน หรือ 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส.ที่มีปัจจุบัน 477 คน หรือหากจะใช้เสียง ส.ส. ร่วมกับ ส.ว.ต้องมีเสียงสนับสนุน 145 คน หรือ 1 ใน 5 จำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มี 727 คน

 

        เงื่อนไขแรกนี้ จะไม่มีปัญหาหาก “คณะรัฐมนตรี” เป็นผู้เสนอญัตติเอง แต่หากรัฐบาลเลือกใช้ทางนี้ ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น หากญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสำคัญ “ถูกคว่ำ” ตั้งแต่วาระรับหลักการ

 

        เงื่อนไขสอง คือ การลงมติชั้นรับหลักการในวาระแรก ที่กำหนดให้ใช้เสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และในจำนวนนั้น ต้องมีเสียง ส.ว.จำนวน 84 เสียง หรือ 1 ใน 3 ของ ส.ว.ที่มี ร่วมเห็นชอบด้วย

 

        เงื่อนไขสาม คือ การลงมติเห็นชอบ แม้จะกำหนดเกณฑ์ใช้เสียงข้างมากเท่านั้น แต่ในรายละเอียดพบว่า มีความยากใน 2 ระดับ คือ

 

        1.ต้องมี เสียง ส.ส.ฝ่ายค้าน ร่วมเห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 20% ของส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ปัจจุบัน 8 พรรค ฝ่ายค้าน ได้แก่ “เพื่อไทย-ก้าวไกล-เศรษฐกิจไทย-เสรีรวมไทย-ประชาชาติ-เพื่อชาติ-ไทยศรีวิไลย์- ปวงชนชาวไทย" มีส.ส.รวมกัน 224 คน ดังนั้นต้องได้เสียง 49 คนขึ้นไป

 

        และ 2.ต้องได้เสียง ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 84 เสียงหรือ 1 ใน 3 ของ ส.ว.ที่มีในปัจจุบัน

 

        “ความยาก” ตามเงื่อนไขทั้ง 3 ข้อ นั้น เป็นที่รู้ดีของ “แกนนำรัฐบาล” จึงปรากฎข่าวของการเดินสายล็อบบี้ ”พรรคร่วมรัฐบาล” ให้สนับสนุนแนวฟื้นบัตรเลือกตั้งใบเดียว 

 

        ขณะที่ “ส.ว.” เริ่มมีการพูดถึงบ้างแล้ว

        เพราะหากไม่เจรจาความไว้ตั้งแต่แรก และปล่อยให้ “คนพลังประชารัฐ” ลุยยื่นญัตติเดี่ยวๆ อาจเจอปรากฎการณ์ซ้ำรอย “คว่ำ” ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ “พลังประชารัฐ” ในวาระแรก เมื่อ 24 มิถุนายน 2564 ที่รอบนั้น มีประเด็นอ่อนไหว และ ไม่มี “ส.ว.” คนใดกล้า “รับหลักการ” ขณะที่ “ส.ส.ร่วมรัฐบาล” อย่าง “ภูมิใจไทย” ไม่เอาด้วย แต่เลือกโหวตงดออกเสียง

พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.”  3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่

        และต่อมาในการลงมติวาระสาม “ส.ส.ภูมิใจไทย” งดออกเสียง เพื่อยืนยัน “ไม่เห็นด้วย” ที่แก้ระบบเลือกตั้ง

 

        อย่างไรก็ดี ในรอบนี้หากการเจรจาได้รับการเห็นพ้อง และ “พรรคภูมิใจไทย” เอาด้วย สิ่งที่ต้องโฟกัส คือ พรรคร่วมรัฐบาล ที่เคยลงมติรับหลักการในวาระแรก และเห็นชอบในวาระสาม ที่แก้ให้รัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และสูตรคำนวณแบบระบบผสมเสียงข้างมาก จะเอาด้วยหรือไม่?

พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.”  3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่

        หากกลับลำสนับสนุน เพราะเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ “ส.ส.” เข้าสภาฯ แต่ในสงครามการเลือกตั้ง ต้องเตรียมคำอธิบายไว้ให้ดีๆ ว่า เมื่อเลือกข้างที่ประชาชนไม่เอา “พรรคการเมือง” ยังมีสิทธิจะได้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำเข้าสภาแน่ๆ หรือไม่

 

        ขณะเดียวกัน “พรรคเพื่อไทย” ผู้ที่เสียเปรียบวันยันค่ำ เชื่อแน่ว่าจะไม่เห็นด้วย และอาจถึงขั้น “บอยคอต”การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นระบบเลือกตั้งที่เอื้อให้ “3 ป.”

 

        และด้วยกลไก “มวลชน” ที่ยังมีอิทธิฤทธิ์ อาจปลุกการต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนถนน เพื่อเป็นกระแสไม่ยอมรับอำนาจนอกสภาฯ ที่แทรกแซง “ฝ่ายนิติบัญญัติ” จนกลายเป็นตัวแปร ที่กระทบต่อเกมอำนาจ อย่าง “3 ป.” ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้.

พลิกสูตรเลือกตั้ง วัดพลัง “3 ป.”  3 เงื่อนไข เปิดศึกรอบใหม่