"บัตรใบเดียว"โดดเดี่ยว"เพื่อไทย" “ศัตรู-มิตร”สมคบคิดวินวิน
เกมแก้รัฐธรรมนูญในสภาฯ จะดุเดือดยิ่งขึ้น เมื่อ “ขั้วรัฐบาล-ขั้วฝ่ายค้าน” วินวินแบบสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ยกเว้น “ทักษิณ-เพื่อไทย” ที่กำลังถูกทั้งศัตรูและมิตรโดดเดี่ยวทางการเมือง
คืนชีพ “บัตรใบเดียว” ไม่ใช่แค่กระแสข่าวลืออีกต่อไป เมื่อ “3 ป.” ออกหน้าปฏิบัติการเอง ด้วยการเรียก “แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล” เข้าหารือหลังประชุม ครม.26 ก.ค.65
แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะออกอาการเหนียมๆ เกรงกระแสตีกลับ หากต้องแก้รัฐธรรมนูญกลับไปสู่จุดเดิม แต่ในทางปฏิบัติ ทุกพรรคเอาด้วยกับ “3 ป.” เนื่องจากการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการใช้ “บัตร 2 ใบ” หากใช้สูตรหาร 100 ย่อมเข้าทางพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งตัวเลขอาจพุ่งเกินกึ่งหนึ่ง แต่หากคำนวณแบบสูตรหาร 500 ผลกระทบต่อพรรคขนาดใหญ่-ขนาดกลาง คืออาจไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย
ดังนั้น “3 ป.” จึงจำเป็นต้องแก้เงื่อนปม ที่ผูกขาตัวเองเอาไว้ โดยส่งสัญญาณให้ ส.ส.พลังประชารัฐ เตรียมพร้อมแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้ “บัตรใบเดียว” ซึ่งเอื้อให้พันธมิตรขั้วเดิม พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และบรรดาพรรคเล็ก ที่แม้จะไม่ได้ชนะที่ 1 สามารถรวมเสียงผนึกกันจัดตั้งรัฐบาลได้
ที่สำคัญ “3 ป.” จับสัญญาณกระแสของ “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยได้ว่า หากใช้ “บัตร 2 ใบ”โอกาสแลนด์สไลด์มีสูง จึงจำเป็นต้องขวาง และเปลี่ยนเกมให้เข้าทางตัวเอง
แม้ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ จะแอ็คชั่นไม่เห็นด้วยกับการคืนชีพ “บัตรใบเดียว” แต่ก็แค่หน้าฉาก เพราะหลังฉากระดับคีย์แมนคุยกันลงตัวแล้ว รอแค่วัน ว. เวลา น. และสถานการณ์ที่จะเช็ตอัพให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “บัตรใบเดียว” มีความชอบธรรมเท่านั้น
จึงต้องจับตาวิธีฟอกขาวสร้างความชอบให้การแก้รัฐธรรมนูญบัตรใบเดียว ทีม “3 ป.” จะเลือกใช้วิธีการใด ซึ่งโฟกัสหลักไปที่กลไก "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) ที่จะต้องพิจารณา “กฎหมายลูก” ต่อจากรัฐสภา ที่จะส่งไปให้หลังผ่านการพิจารณาแล้ว
โดย กกต.อาจมีข้อท้วงติง ข้อเสนอแนะกลับมายังรัฐสภา หากมีประเด็นใดติดขัด รัฐสภาอาจต้องนำมาทบทวน หรือพิจารณากันใหม่
เช่นเดียวกับเกมยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยประเด็นต่างๆ ที่มีความเห็นต่าง และสุ่มเสี่ยงทำให้การออก “กฎหมายลูก” มีปัญหา
โดยเฉพาะประเด็นที่กำหนด ส.ส.พึงมี ที่ยังระบุไว้รัฐธรรมนูญ และยังมีอีกหลายเงื่อนปมที่มีปัญหาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งปกติแล้วเมื่อมีคำวินิจฉัยออกมา “ศาลรัฐธรรมนูญ”จะมีข้อเสนอแนะ เป็นแนวทางปฏิบัติออกมาควบคู่กันเสมอ
เป็นรู้กันว่า บารมีของ “3 ป.” สามารถเปิดดีล วางเกมสร้าง “อภินิหารทางกฎหมาย” ได้เสมอ ยิ่งกลไกรัฐธรรมนูญ “บัตร 2 ใบ” ไม่เอื้อต่อการอยู่ในอำนาจต่อ และจำเป็นต้องดีไซน์ให้กติกาเอื้อประโยชน์กับตัวเองอีกครั้ง เรื่องที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ก็ย่อมเป็นไปได้
เมื่อมองให้ลึกถึงผลประโยชน์ทางการเมืองของ “บัตรใบเดียว” อาจจะมีเพียง “ทักษิณ-เพื่อไทย” เพียงฝ่ายเดียว ที่สูญเสียผลประโยชน์ แต่พรรคการเมืองอื่นวินวินกับเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะ “ขั้วรัฐบาล” ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาได้สำเร็จ มาจากกติกา “บัตรใบเดียว”
ส่วน “ขั้วฝ่ายค้าน” ประกอบด้วย อดีตพรรคอนาคตใหม่ (พรรคก้าวไกล) เสรีรวมไทย ประชาชาติ เพื่อชาติ และพรรคเล็กขั้วฝ่ายค้าน ต่างได้ประโยชน์จาก “บัตรใบเดียว” โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ที่เวลานั้นโกยคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ กวาด ส.ส.เข้าสภาอย่างถล่มทลาย
ฉะนั้น หากต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกณฑ์ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ส.ส. ฝ่ายค้าน ต้องเห็นชอบด้วย 20% จึงไม่น่าจะมีปัญหา อีกทั้งยังมีเสียง ส.ส.งูเห่า ที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล จำนวนหนึ่งที่พอจะโหวตให้เข้าหลักเกณฑ์ตรงนี้
ดังนั้น จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของ “ทักษิณ-เพื่อไทย” จะวางหมากอย่างไร เพื่อแก้เกมไม่ให้ “3 ป.” เดินหมากไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้ “บัตรใบเดียว” ได้อย่างที่ต้องการ ไม่เช่นนั้น “เพื่อไทย”อาจต้องเป็น “ฝ่ายค้าน” ไปอีก 4 ปี
เกมของ “ทักษิณ-เพื่อไทย” จึงจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสร้างกระแสต่อต้านให้เกิดขึ้น พร้อมกับปลุกแนวร่วมต้าน “3 ป.” ต่อยอดอำนาจ ยืมมือประชาชนมากันท่าไม่ให้ “3 ป.”เคลื่อนเกมได้ลำบาก
ส่วนแนวรบในสภาฯ “ขุนพลเพื่อไทย” อาจต้องเล่นเกมตีรวน เพื่อดิสเครดิตการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “บัตรใบเดียว” ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน
หากไม่ได้ผล อาจได้เห็นเกมแรง ด้วยการ “บอยคอต” ไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรใบเดียว
จากนี้ไป เกมแก้รัฐธรรมนูญในสภาฯ จะดุเดือดยิ่งขึ้น เมื่อ “ขั้วรัฐบาล-ขั้วฝ่ายค้าน” วินวินแบบสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ยกเว้น “ทักษิณ-เพื่อไทย” ที่กำลังถูกทั้งศัตรูและมิตรโดดเดี่ยวทางการเมือง