“เพื่อไทย” มั่นใจ “บิ๊กตู่” พ้นเก้าอี้ปมนายกฯ 8 ปี-ทำทุกทางให้ได้สูตรหาร 100
“เพื่อไทย” ยืนยันยื่นศาล รธน.ตีความสถานะ “นายกฯ 8 ปี” มั่นใจ “ประยุทธ์” พ้นเก้าอี้แน่ เผยพร้อมทำทุกทางเพื่อให้ร่างกฎหมายลูก ส.ส.คำนวณแบบหาร 100 เท่านั้น
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2565 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ว่า เป็นการยื่นเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลงในวันที่ 24 ส.ค. 2565 เนื่องจากดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปี ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 82 มาตรา 158 วรรคท้าย มาตรา 170 และมาตรา 264 โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาฯ เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นคำร้องได้ประมาณวันที่ 17 ส.ค. นี้ คาดว่าประธานสภาฯ คงจะส่งเรื่องให้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของคำร้อง และตรวจสอบรายชื่อสมาชิก น่าจะให้เวลาประมาณ 7 วันบวกลบ ก่อนส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ได้ในเวลาที่อยู่ครบกำหนด 8 ปี ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด
นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสาระที่เป็นข้อกฎหมาย คงจะรับรู้โดยทั่วกันแล้วว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 264 ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เป็นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้เป็นครม.ตามรัฐธรรมนูญนี้ โดยยกเว้นคุณสมบัติบางประการ แต่ที่ไม่ยกเว้นให้คือการเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งเราได้ศึกษาและค่อนข้างมั่นใจว่าต้องพ้น คือเจตนารมณ์ของมาตรา 264 มาตรา 158 ชัดเจนว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ซึ่งมิได้มีการระบุว่าต้องเป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น พร้อมทั้งได้ยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีในยุคพล.อ.ประยุทธ์ก่อนรัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้ คำวิจฉัยในเรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังว่าตีความอย่างไร โดยรวมคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของฝ่ายค้าน ค่อนข้างมีความมั่นใจว่าคำร้องมีความสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องของข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และเจตนารมณ์ เข้าข่ายที่จะทำให้ สรุปได้ว่าความเป็นนายกฯของ พล.อ.ประยุทธ์ สิ้นสุดลง
ส่วนนายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีข้างต้นว่า ตนไม่ได้ดูข้อกฎหมายอะไรมากมาย เพราะตีความไปซ้ายไปขวาได้ แต่นายกฯควรยึดเจตนารมณ์ที่รัฐธรรมนูญ ไม่ต้องการให้ใครเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ฝ่ายกฎหมายจะพิจารณาอย่างไรไม่สามารถบอกได้ว่าใครผิดใครถูก เรื่องนี้นายกฯต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าสังคมส่วนมากคิดอย่างไร เพราะเป็นบุคคลสาธารณะต้องดูความรู้สึกของคนหมู่มากด้วย
ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยจะต่อสู้ยับยั้งกฎหมายลูกที่ รัฐสภาพิจารณาในวาระ 2 ให้มีการแก้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 500 ด้วยการทำให้กฎหมายพิจารณาไม่ทันกรอบเวลา 180 วัน เพื่อกลับไปใช่ร่างที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาที่มีเนื้อหาสำคัญคือคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยการหาร 100 ว่า ร่างที่ ครม.เสนอไม่ได้ถือว่าดีกว่าที่มีการปรับปรุงในรัฐสภา แต่สาระสำคัญคือหารด้วย 100 ส่วนร่างที่พิจารณาในรัฐสภาดีกว่าหรือไม่ ต้องบอกว่าบางจุดมีการแก้ไขให้การทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สะดวกขึ้น แต่หลักใหญ่อยู่ที่การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
นายสมคิด กล่าวอีกว่า ร่างที่กรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ แต่มีการแก้ไขในรัฐสภาให้หารด้วย 500 กมธ.ของพรรคเพื่อไทย มองว่า ขัดต่อหลักการที่รัฐสภามอบให้พิจารณา เราชี้แจงไปแล้วว่าไม่เคยมีกฎหมายฉบับไหนทำกันแบบนี้ กมธ.เสียงข้างน้อยเขามีโอกาสชนะได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการที่รับหลักการมา ไม่ใช่หลุดหลักการออกไปเช่นนี้ เมื่อกฎหมายหลุดออกไปจากหลักการเช่นนี้เราจึงเลือกที่จะให้กลับไปที่ร่างเดิมที่ครม.เสนอ เป็นช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา 132 ที่สามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้เลย
“กมธ.พรรค พท. และเสียงข้างมาก เราจึงเลือกวิธีนี้ดีที่สุด ไม่ต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ได้กฎหมายลูกที่ยึดตามหลักการที่รัฐสภารับมาในวาระแรกอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วก็ต้องแล้วแต่เสียงข้างมากในรัฐสภา แต่พรรคพท.จะต่อสู่ทุกทางให้กฎหมายลูกกลับมาหารด้วย 100 เท่านั้น” นายสมคิด กล่าว