เมื่อ“3 ป.”ลุยต่อการเมือง เข็น “ประยุทธ์”นายกฯ รอบ 3
ขณะนี้ ชัดเจนแล้วว่า “3 ป.” ยังไปต่อทางการเมือง ดังนั้นการขยับปรับหมากในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่ เพราะศึกเลือกตั้งเที่ยวนี้ มีเดิมพันเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รอบ 3 ของ “ประยุทธ์”
“3 ป.” มาด้วยกันไปด้วยกัน คำยืนยันจากปากของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ภายหลังเข้าเบิร์ธเดย์ พี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในวัย 77 ปี ท่ามกลางข้อสงสัย “3 ป.” ส่อแยกกันเดินทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
โดยมีการคาดการณ์ว่า “พล.อ.ประวิตร” รอส้มหล่นนั่ง “นายกฯ คนนอก” หาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หาก “ตุลการศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัย ให้เริ่มนับ 8 ปีตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 24 ส.ค.2557
พร้อมกับมีกระแสข่าวมาเป็นระยะว่า “3 ป.” เตรียมเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีกันใหม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมไฟเขียวให้ พล.อ.ประวิตร เข้าไปคุมกระทรวงมหาดไทย เพื่อเตรียมทำศึกเลือกตั้ง ที่มีเดิมพัน ดันน้องเล็ก 3 ป.คัมแบ็คเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รอบสาม
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เวลานี้ ไม่มีปัญหา หากถูกโยกไปนั่งเก้าอี้ “รมว.พลังงาน” เพราะแม้ในทางการเมือง จะดูเหมือนเกรดต่ำกว่ากระทรวงมหาดไทย แต่ในฐานะกระทรวงเศรษฐกิจ ถือเป็นกระทรวง “ขุมทรัพย์” เบอร์ต้นๆ จึงไม่ติดขัด หากจะเกลี่ยกระทรวงเกรดใหม่ เพื่อช่วยกันประคับประคอง เดินไปสู่จุดหมายที่วางเอาไว้
ในหมู่คนใกล้ชิดแวดล้อม 3 ป. ยืนยันว่า ความเป็น “พี่น้อง 3 ป.” ยามมีเรื่องกระทบกระทั่ง กินแหนงแคลงใจ ไม่เคยปล่อยให้ปัญหานั้นล่วงเลยข้ามวันข้ามคืน เกือบ 40 ปีที่รู้จักกันมา มีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยการรับฟังเหตุผล การให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็น พี่ใหญ่“ประวิตร” กับ น้องเล็ก"ประยุทธ์” ที่มีเรื่องทะเลาะกัน เนื่องจากอุปนิสัยที่คล้ายกัน ในขณะที่ พี่กลางอย่าง ”อนุพงษ์” ซึ่งมีบุคลิกสุขุม เปรียบเสมือนกรรมการ
แต่ในห้วงที่โครงสร้างทางการเมืองกำลังเปลี่ยน ประจวบเหมาะกับคนใกล้ชิด-ลิ่วล้อ มีปัญหาแตกคอแบ่งกันเป็น 2 ฝ่าย บางกลุ่มสนับสนุน “ประวิตร” แต่ไม่เอา “ประยุทธ์-อนุพงษ์” จึงทำให้เกิดภาพ “พี่น้อง 3 ป.” เดินกันคนละทิศละทาง
แต่ทั้ง “นักการเมือง-เซียนการเมือง” ต่างมองไม่ออกว่า “3 ป.” แตกคอกันหรือไม่ เนื่องจากคำว่า “พี่น้องเลือดทหาร” ล้ำลึกเกินกว่าจะหยั่งถึง แถม “3 ป.” ยังใช้ยุทธวิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง โดย “ประยุทธ์” คุมภาพรวมการบริหารประเทศ “ประวิตร” คุมการเมือง “อนุพงษ์” คุมข้าราชการ
ฉะนั้น หากจะตีขลุมว่า 3 ป.แตกกัน ขัดแย้งกัน ก็อาจจะเร็วเกินไป เพราะต่างฝ่ายต่างรู้บทบาทของตัวเอง และพยายามหนักแน่น ไม่ไหวติงกับกระแสข่าว โดยเฉพาะท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ยังแสดงออกชัดว่า สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และมั่นใจจะอยู่ครบเทอม
ยิ่งตัวตนและจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีประเด็น เป็นเงื่อนไขให้ต้องตัดสินใจ “ยุบสภา” แต่เลือกเดินเกมการเมืองด้วยการแก้ไขปัญหาทีละเปลาะ เพราะรู้ว่าคนรอบตัวพี่ใหญ่กระหายอำนาจ โดยมี ส.ส.คอยเป็นแบ็คอัพให้ จึงมีบางจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อให้ พล.อ.ประวิตร ได้ต่อรองทางการเมือง
ดังนั้น ความมั่นคงรัฐบาลเวลานี้ จึงอยู่ที่ “3 ป.” ไม่ใช่เสียงในสภา เพราะไม่ว่าจะมีแรงกดดัน ต่อรองทางการเมืองมากเพียงใด พล.อ.ประยุทธ์ ก็รอดมาได้ทุกครั้ง
โดยเฉพาะเหตุการณ์ “กบฏการเมือง” ที่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย เคลื่อนพลเตรียมโหวตล้ม “ประยุทธ์” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงเดือน ก.ย.ปี 2564 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเดินสายเคลียร์กับ พล.อ.ประวิตร เนื่องจากมี “ป.4” บัญชาเกมอยู่เบื้องหลังจน “พี่ใหญ่” ออกอาการไขว้เขว
มาจนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด ชื่อของ “อนุพงษ์” โดนแบล็คลิสต์จาก ส.ส. พลังประชารัฐ โดยมีความเคลื่อนไหวกดดันให้ปรับ ครม. เพื่อให้ พล.อ.ประวิตร ขยับไปนั่งเก้าอี้ มท. 1 แทน พล.อ.อนุพงษ์ แลกเสียงโหวตไว้วางใจ ซึ่งว่ากันว่า คนขับเคลื่อนเกมอยู่หลังฉาก คือ “ป.4” รายเดิม
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข่าวเสี้ยม ปล่อยออกมาตลอดเวลาว่า “3 ป.” แตกคอกัน เพราะมี “ป.4” คอยแทรกกลาง แต่เบื้องลึกแล้ว แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันบางเรื่อง แต่ “3 ป.” มักจะหาจุดลงตัวได้เสมอ
เมื่อแรงกดดันจาก “ป.4” ทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมี ส.ส. พลังประชารัฐ คอยสนับสนุน และการทำงานของ มท.1 “อนุพงษ์” ยังไม่ตอบโจทย์การทำพื้นที่ของ ส.ส. จึงเป็นข้ออ้างให้ต้องปรับเปลี่ยนเก้าอี้ เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
จนถึงขณะนี้ ชัดเจนแล้วว่า “3 ป.” ยังไปต่อทางการเมือง ดังนั้นการขยับปรับหมากในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่ เพราะศึกเลือกตั้งเที่ยวนี้ มีเดิมพันเก้าอี้นายกรัฐมนตรี รอบ 3 ของ “ประยุทธ์”