เคาะแล้ว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. คนที่ 13
"พลเอกประวิตร" คัมแบ็ค สตช. รอบ 4 ปี เคาะตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. คนที่ 13 ท่ามกลางกระแสข่าวการเมืองที่ปั่นป่วน
วันที่29ส.ค65 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติหรือ ก.ต.ช. และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ซึ่งถือเป็นการกลับมาทำหน้าที่ดูแลตำรวจอีกครั้งแรกในรอบ 4 ปี
จากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ามากำกับดูแลเองตั้งแต่ปี 2562 หลังการเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกประวิตร มีสีหน้าเรียบเฉย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เดินกระฉับกระเฉงกว่าทุกครั้ง และไม่หันมาตอบรับการทักทายจากสื่อมวลชน ก่อนที่จะเดินขึ้นลิฟท์เพื่อเข้าประชุมทันที
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ตึกไทยคู่ฟ้า มีการระดมเจ้าหน้าที่เก็บเอกสารเก่า เพื่อไปทำลายตามปกติ แต่ไม่ใช่การเก็บของ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตึกไทยคู่ฟ้า ตามกระแสข่าวแต่อย่างใด
มีรายงานว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. ให้ที่ประชุม ก.ต.ช.พิจารณารายเดียว โดยคณะกรรมการเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่ ซึ่งเป็น ผบ.ตร. คนที่ 13 ใช้เวลาประชุมประมาณ 1 ชม.
สำหรับประวัติ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ว่าที่ ผบ.ตร. คนที่ 13 เตรียมรับส่งมอบหน้าที่ต่อจาก “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีก 1 เดือนข้างหน้า
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เคยเอ่ยกับคนใกล้ชิดว่า อยากจะสานต่อนโยบายทุกอย่างต่อจากบิ๊กปั๊ด เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ด้วยที่ทุกนโยบายที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ เคยทำไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสิ้น
ประวัติทางการศึกษา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 22 เพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. และเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 38 จบปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร์ จาก City University ประเทศสหรัฐอเมริกา , หลักสูตรการควบคุมฝูงชน ของ Tacoma Police Department ประเทศสหรัฐอเมริกา และ หลักสูตร Pacific Training Initiative (PTI) ของ F.B.I
เมื่อย้อนดูประวัติรับราชการของว่าที่ ผบ.ตร. คนใหม่ก็นับว่ามีประสบการณ์การทำงานผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาอย่างไม่ธรรมดา เริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อปี 2528 ตำแหน่ง รอง สวส.สน.พลับพลาไชย เขต 2 ดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ รอง ผกก.ป.สน.บางรัก ผกก.สน.คลองตัน
ในช่วงนั้น ผกก.เด่น ลงพื้นที่ เยี่ยมเยียนชุมชน พบปะพูดคุยกับชาวบ้านร่วมกับผู้ปฏิบัติงานด้วยตนเอง หาแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดติด และปัญหาอาชญากรรมในชุมชน ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในพื้นที่ และได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย อาทิ รางวัลป้องกันยาเสพติดดีเด่น ของ ตร. , รางวัลพัฒนาสถานีตำรวจเพื่อประชาชน อันดับ 1 และรางวัลชุดปฏิบัติการชุมชนสัมพันธ์ดีเด่นของ บช.น. 3 ปีซ้อน ก่อนได้เลื่อนเป็นรองผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191), รองผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (อคฝ.) ต่อมาได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา ให้เลื่อนขึ้นเป็น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญ ดูแลงานภูธร ก่อนมีคำสั่งให้กลับเข้ามาดูแลงานสำคัญในพื้นที่กรุงเทพตอนเหนือ ในตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ในยุคที่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา (ยศในสมัยนั้น) เป็น ผบช.น.
สมัยดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.อำนาจเจริญ ผู้การเด่น เป็นที่รักใครของชาวบ้าน เข้าถึงประชาชนทุกระดับ ถึงขั้นสื่อมวลชนกับตัวแทนชาวบ้านมาขอร้องให้อยู่ต่ออีก 1 ปี แต่ท้ายที่สุดก็ต้องย้ายเข้าเมืองหลวง เพราะผู้บังคับบัญชาให้เข้ามาช่วยงาน
ในยุคที่ทำหน้าที่เป็น ผบก.น.2 ปี 2554 เกิดสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ผู้การเด่น ตั้งศูนย์ช่วยเหลือน้ำท่วม รับแจ้งเหตุ เอาเรือออกช่วยเหลือชาวบ้าน แจกถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จนได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนทำให้ตำรวจหลายนายได้รับพิษทางการเมืองไปโดยปริยาย เช่นเดียวกับผู้การเด่น ที่ถูกย้ายไปเป็น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา ด้วยความที่ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่ถือหน้าที่เป็นสำคัญ บิ๊กเด่นใช้โอกาสนี้บวกกับประสบการณ์ที่เคยได้รับสมัยเป็น ผกก.สน.คลองตัน ลงพื้นที่แก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศ ภ.จว.พะเยา ได้รับความพึงพอใจ 100% ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
บิ๊กเด่น เติบโตตามเส้นทางรับราชการเรื่อยมา เน้นการทำงานเป็นที่ตั้ง จนได้เลื่อนเป็น รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5, ผู้บัญชาการ สำนักงานกำลังพล ในสมัย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. ก่อนย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และโยกเป็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ริเริ่มจัดทำโครงการ “ประชารัฐร่วมใจต้านภัยยาเสพติด (ปักกลด)” 1,472 หมู่บ้าน
โดยให้ตำรวจเข้าไปคลุกคลี แก้ปัญหายาเสพติดร่วมกับชาวบ้านและฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น สาธารณสุข ในชุมชนที่มีปัญหาแพร่ระบาดเป็นระยะเวลา 1 เดือนจนกว่าปัญหาคลี่คลายจนได้รับฉายา “เด่นปักกลด”, และได้รับรางวัลป้องกันปราบปรามยาเสพติดดีเด่นจาก ปปส. นอกจากนี้ยังได้ริเริ่มโครงการ “สร้างสรรค์นวัตกรรมในการลดสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนบนพื้นฐานระบบงานสืบสวน อบถ.” ใน 8 จังหวัดภาคอีสาน ปัจจุบัน ตร. ได้นำมาเป็นตัวอย่างขับเคลื่อนในการลดอุบัติเหตุทางถนนกับทุกจังหวัด
ในห้วงที่ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ต่อเนื่องจนเป็น รอง ผบ.ตร. บิ๊กเด่น รับนโยบายที่สำคัญตรงจากบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ให้กวาดล้างเด็กแว๊นและหาแนวทางป้องกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
จึงได้ขอจัดตั้งศูนย์ปราบปรามการแข่งรถในทาง หรือ ศปข.ตร. ขึ้นมา มีศูนย์โซเชียล ตร. และ บช. เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการแข่งรถในทางทั่วประเทศ ประสานข้อมูลกับตำรวจพื้นที่เพื่อให้ติดตามสืบสวนจับกุม และรายงานผลการปฏิบัติอย่างเป็นระบบ ไม่ปล่อยให้ตำรวจพื้นที่ทำงานอย่างโดดเดี่ยว มอบรางวัลสายข่าวให้กับประชาชนที่แจ้งเบาะแส ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาเด็กแว๊นได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นผลงานที่สำคัญของรัฐบาลและ ตร. จนถึงทุกวันนี้
แต่ทว่า ผลงานที่ทำให้สปอร์ตไลท์ฉายมาที่ บิ๊กเด่น และเข้าตา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ บิ๊กปั๊ด มากที่สุดก็เห็นจะเป็น การปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตร. หรือ ศปอส.ตร. บิ๊กเด่น ทลายแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ที่อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ สภ.เมืองระนอง เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่บริษัท DHL ซึ่งมีการขยายผลไปจับกุมถึงประเทศกัมพูชา แบบถอนรากถอนโคน และด้วยความเป็นตำรวจที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี จึงได้รับความร่วมมือจากผู้นำตำรวจกัมพูชาเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะครั้งล่าสุดมีการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายในประเทศกัมพูชา 94 ราย ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา นอกจากนี้ยังกวาดล้างเครือข่ายพนันออนไลน์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์รายสำคัญ เช่น คดีเสี่ยโป้ เครือข่ายพนันออนไลน์รายใหญ่จนนำไปสู่การยึดและอายัดทรัพย์จำนวนมาก คดีทลายแท่นผลิตแบงค์ดอลล่าห์ปลอม คดีค้าอาวุธปืนออนไลน์ และคดีแก๊งปล่อยเงินกู้ ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังได้ขับเคลื่อนระบบ “การรับแจ้งความผ่านระบบออนไลน์” ที่ทันสมัยเข้ากับยุคดิจิตัล ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมากๆ เพราะเป็นการปฏิวัติรูปแบบการรับแจ้งความครั้งสำคัญ ตามแนวความคิดและนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ปรมาจารย์นักสืบยุค 5G และ รัฐบาล 4.0 อีกด้วย บิ๊กเด่น สามารถดึงตำรวจที่เป็นยอดฝีมือที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทางด้านเทคโนโลยี และการสืบสวนสอบสวน มาช่วยวางระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ทำให้ประชาชนที่ตกเป็นผู้เสียหายสามารถแจ้งความและติดตามคดีได้สะดวกขึ้น มองเห็นตัวเลขสถิติคดีออนไลน์ และแยกแยะรูปแบบกลโกงออกมาได้ทั้งหมด เห็นความเชื่อมโยงของคดี ตลอดจนติดตามอายัดเงินในบัญชีได้รวดเร็วขึ้นกว่าในอดีต อีกทั้งยังทำสื่อประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้ประชาชนไม่หลงตกเป็นเหยื่ออีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นการเพิ่มความรู้ให้กับข้าราชการตำรวจที่ทำงานด้านไซเบอร์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ยังได้เป็นผู้ริเริ่มทำข้อตกลงความร่วมมือกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ก.อว.) ได้รับมอบทุนจากนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. เพื่อพัฒนาข้าราชการตำรวจส่งไปศึกษาระดับปริญญาโท ด้าน Cyber security ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จีน เสปน และเยอรมนี ปีละ 4 ทุน ติดต่อกัน 3 ปี รวม 12 ทุน ตั้งแต่ปี 2565-2567
“หัวใจของการทำงานให้มีประสิทธิภาพ คือการติดตามและประเมินผล” เป็นคำที่บิ๊กเด่น มักกล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ นับได้ว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นทั้งนักปฏิบัติที่ผ่านประสบการณ์ทุกรูปแบบ และเป็นนักบริหารเชิงรุกตัวจริงที่สร้างรากฐานวางรูปแบบการทำงานให้กับ ตร. อย่างมากมาย