“พีระพันธุ์” ชู ร่างกฎหมายกลาง ปลดล็อกปชช. เดือดร้อน ปัญหาที่อยู่-ที่ทำกิน
“พีระพันธุ์” รับ 3 เรื่องร้องเรียน ชาวบ้าน เดือดร้อนที่ดินทำกินทับซ้อนป่าสงวน ชี้ หน่วยงานรัฐไม่ทำให้ชัดเจน แนะ เอาโฉนดไปยันกับกรมที่ดิน อีกเคสถูกรื้อที่พักอาศัย-โดนยึดบ้าน ต้องมีกฎหมายฉบับเดียว-พ.ร.บ.กลาง ยกเลิกความไม่เป็นธรรม หลายอย่างจะถูกปลดล็อก
ที่ตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ เป็นประธานประชุมรับข้อร้องเรียนของประชาชน 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรกเป็นข้อร้องเรียนของกลุ่มชาวบ้าน ต.ทุ่งตำเสา,ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ และต.คลองหลา อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา ได้ขอความช่วยเหลือกรณีที่ดินที่ทับซ้อนกันระหว่างที่ดินทำกินของประชาชนกับพื้นที่ป่าสงวนของกรมป่าไม้ ที่ยังต้องรอการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ ทั้งกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านเคยทำมาหากินมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก่อนจะมีการประกาศพื้นที่ป่าสงวนและอยู่ระหว่างการออกเอกสารสิทธิ์จากราชการ
จากการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมป่าไม้ กรมที่ดิน และ สปก. รวมทั้งตรวจสอบจากกฎหมายและคำสั่งต่างๆ ก็พบว่าพื้นที่ดังกล่าว เคยมีมติ ครม.เมื่อปี พ.ศ. 2525 ให้จำแนกพื้นที่ป่าไม้ และพื้นที่จัดสรรตามประเภทรวมทั้งพื้นที่ที่ประชาชนสามารถทำประโยชน์ในที่ดินได้แต่เมื่อเวลาผ่านมาก็ยังไม่ได้มีการดำเนินการ แม้จะมีการนำเรื่องดังกล่าวกลับมาพิจารณาในครม.อีกครั้งในปี พ.ศ.2555 และมีมติให้ดำเนินการแล้ว แต่กระบวนการก็ยังไม่คืบหน้า กลายเป็นปัญหามาโดยตลอด กระทั่งล่าสุดมีชาวบ้านเข้าไปทำมาหากินในพื้นที่ของตนเอง แต่ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้แจ้งจับดำเนินคดี ได้หลักฐานเป็นบุ้งกี๋ จอบ จนต้องเข้าไปอยู่ในห้องขัง 2 คืน ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน จึงได้เดินทางมาร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมดังกล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จากการที่ตนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของป่าไม้จังหวัด และจากปัญหาที่มีการจับกุมจนทำให้เกิดการร้องเรียนนั้นเป็นเพราะหน่วยงานรัฐยังไม่ได้ดำเนินการให้ชัดเจน เนื่องจากเจ้าหน้าที่เอง อาจจะยังไม่เข้าใจในรายละเอียดของคำสั่งหรือกฎหมาย ทำให้ดำเนินการผิดพลาด ดังนั้นเมื่อได้มีการเชิญมาพูดคุยที่มาที่ไปและทำความเข้าใจกันแล้ว ตนจึงได้สั่งการให้ทั้งสองฝ่ายไปดำเนินการร่วมกัน โดยในส่วนของประชาชนเองนั้น จะต้องนำพื้นที่ที่ตนเองมีเอกสารหรือโฉนดยืนยันดังกล่าว ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบ ขณะที่เจ้าหน้าที่เองเมื่อทราบแล้ว ก็ควรจะไปถอนแจ้งความ เพราะประชาชนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถยุติปัญหาที่เกิดขึ้นได้
นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่สอง เป็นประเด็นร้องเรียนกรณีชาวบ้านในชุมชนแหลมสนอ่อน เทศบาลนครสงขลา จ.สงขลา ได้ยื่นขอความเป็นธรรมกรณีเทศบาลฯ สั่งรื้อที่พักอาศัยที่เคยเช่าทำกิน โดยระบุว่าจะใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อสร้างสวนเฉลิมพระเกียรติ และแก้ปัญหาผู้ที่สร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่ในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยชาวบ้านระบุว่าการดำเนินการดังกล่าวทำให้ได้รับความเดือดร้อนเรื่องที่ทำมาหากินและอยู่อาศัย ซึ่งตนได้สอบถามรายละเอียดจากทางเทศบาลฯ แล้วก็ทราบว่าเป็นนโยบายที่ต้องการจะพัฒนาพื้นที่ และแก้ปัญหาการบุกรุกเพิ่มเติมของชาวบ้านกลุ่มใหม่ที่เข้ามาก่อสร้างต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยที่ผ่านมาได้มีการเจรจาตกลงกันเกี่ยวกับสัญญาเช่าพื้นที่ให้กับประชาชน แต่ยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ยินยอมที่จะมาทำสัญญาและพูดคุยตกลงกัน จนกลายเป็นปัญหายืดเยื้อ มีการสั่งรื้อถอนอาคารบ้านเรือนดังกล่าว จากการพูดคุยกับทั้งสองฝ่าย ตนได้สอบถามถึงประเด็นปัญหา อุปสรรค ของทั้งสองฝ่ายที่ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ ก็พบว่าในส่วนของภาครัฐนั้นต้องการควบคุมไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติม หลังจากที่มีประชาชนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาใช้พื้นที่โดยขอให้ประชาชนทำสัญญาเช่าพื้นที่อย่างถูกต้อง เพื่อการควบคุมดูแลให้เกิดระเบียบ แต่ประชาชนบางกลุ่มไม่มาทำสัญญา ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็ไม่ดำเนินการตามระเบียบที่ทางภาครัฐกำหนด จนทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว
“จากการพูดคุยหาแนวทางร่วมกันเบื้องต้น ก็พอมีทางที่จะพูดคุยตกลงกัน เพื่อให้ข้าราชการดำเนินการไปตามหน้าที่ได้ และชาวบ้านไม่ได้รับความเดือดร้อน โดยผมจะเข้าไปดูแลเพิ่มเติมให้ปัญหาคลี่คลาย ในส่วนของประชาชนนั้นได้ขอให้ผู้ที่อยู่ดั้งเดิมรีบไปทำสัญญาให้ถูกต้องและขอให้ช่วยดูแลอย่าให้เกิดการบุกรุกเพิ่มเติม โดยประชาชนรับปากที่จะทำตามข้อตกลงดังกล่าว ทำให้เป็นที่พอใจทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง” นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่าในส่วนของการร้องเรียนประเด็นที่สามเป็นกรณีที่ประชาชนมาร้องเรียนและขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกธนาคารยืดบ้านและกำลังจะถูกนำไปขายทอดตลาดหลังจากที่ขาดส่งค่างวดเพียง 2 เดือน ที่ผ่านมาพยายามร้องเรียนไปตามที่ต่างๆ แต่ยังไม่คืบหน้า ล่าสุดจะถึงกำหนดเส้นตายในเดือนนี้ และครอบครัวอาจจะไม่มีบ้านอยู่ จึงอยากจะขอความเป็นธรรมช่วยเหลือในประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ ตนได้ประสานให้นายชื่นชอบ คงอุดม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงการคลัง ตรวจสอบเกี่ยวกับเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องว่าเป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่ถูกต้องหรือไม่ และหาแนวทางช่วยเหลือผู้ร้องเรียนรายนี้ต่อไป
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า จากการรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ ตนไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาที่กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่มองว่าเป็นปัญหารวมของกฎหมายภาครัฐ คือกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องการกำกับดูแลประชาชนทั้งหมด ถ้าไปไล่แก้ทีละฉบับไม่ทัน ควรจะต้องมีกฎหมายฉบับเดียว เพื่อเป็นกฎหมายที่เป็นการบริหารราชการเพื่อความเป็นธรรม พ.ร.บ.หรือกฎหมายใดที่หน่วยงานถืออยู่แต่สร้างความเดือดร้อน และทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับประชาชน จะต้องถูกยกเลิกเพิกถอนด้วย พ.ร.บ.ฉบับกลางฉบับนี้
“ตอนนี้ประเทศเราไม่มีกฎหมายฉบับนี้ ทำให้เวลาเกิดปัญหาก็ต้องไปไล่แต่ละที่ ไปที่กรมที่ดินบ้าง ไปป่าไม้บ้าง ไปทรัพยากรธรรมชาติ ไปประมง ยุ่งไปหมด แต่พื้นฐานปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องเดียวกันหมด คือกฎหมายไม่ชัดเจน หรือใช้อำนาจทางกฎหมายไม่ถูกต้องทำให้เกิดปัญหาตามมาในแต่ละเนื้อหาของประเด็น เช่น เรื่องประมง เรื่องป่าไม้ เรื่องทำกิน แต่ทั้งหมดมาจากเรื่องเดียวกัน อย่างน้อยถ้าออกมา ผมเชื่อว่าจะคลี่คลายปัญหาได้สูง เพราะหลายอย่างจะถูกปลดล็อก และผมทำได้เขียนได้เลย ดำเนินการได้เองเลยไม่ต้องให้หน่วยราชการต้องดำเนินการ ซึ่งนี่เป็นแนวทางการทำงานที่จะได้ทำให้เกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญเรื่องความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในขณะนี้” นายพีระพันธุ์กล่าว