นับถอยหลัง สิ้นอำนาจ "3 ป.” "กองทัพ"เปลี่ยนขั้ว รับการเมืองใหม่
เป้าหมายที่จะผลักดัน ตท.รุ่น 28 ขึ้นมาคุมกองทัพ เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงให้ได้ในปี 2570 เริ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เอาแน่นอนไม่ได้กับอนาคตของ "พี่น้อง 3 ป."
เริ่มเห็นเค้าลาง "ขั้วอำนาจ"ในกองทัพกำลังเปลี่ยน ภายในอนาคตอันใกล้นี้ หลังปรากฎชื่อ "บิ๊กปู" พล.ต.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) รองแม่ทัพภาค1 (รอง มทภ.1 ) เป็น มทภ.1 เบียดแซงโค้งทำ "บิ๊กหนุ่ย" พล.ท.ธราพงษ์ มาละคำ (ตท.24) แม่ทัพน้อยที่ 1 น้องรัก "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ไปนั่งตบยุงเป็นที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
"มทภ.1" นอกจากเป็นตำแหน่งที่คุมกำลังรบหลักของภาคกลางและเมืองกรุง จนถูกเรียกว่ากำลังปฏิวัติแล้ว ยังเปรียบเสมือนบันไดขั้นแรกที่นำไปสู่เก้าอี้ ผบ.ทบ. เพราะหากย้อนดูรายชื่อผบ.ทบ.ส่วนใหญ่ล้วนเคยผ่านเก้าอี้ตัวนี้มาแล้วทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างชื่อที่คุ้นหูและมีบทบาทในแวดวงการเมืองในอดีตและปัจจุบัน ทั้ง จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์
แม้แต่ "พี่น้อง 3 ป". พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึง พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จนมาถึงคนล่าสุด พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ และในอนาคตหากไม่มีปัจจัยผันแปรก็จะเป็น พล.อ.เจริญชัย สินเธาว์ ที่จะเป็น ผบ.ทบ.
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองจะโฟกัส " มทภ.1" สำหรับคนใกล้ชิดที่ไว้วางใจได้ เพื่อหลักประกันฐานอำนาจของตัวเองหวังต่อยอดไปถึงอนาคต ไม่ต่างอะไรกับ "พี่น้อง 3 ป." ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการสร้างเครือข่าย วางตัวบุคคลในตำแหน่งสำคัญๆ
แต่เมื่อสมการเปลี่ยน ปัจจัยภายนอกกลายเป็นตัวแปรที่เข้ามากำหนดทิศทางของกองทัพ จากเดิมในอดีต "นายกฯ"ที่ควบตำแหน่ง "รมว.กลาโหม" มักจะมีอำนาจคัดเลือกตัว "ผบ.เหล่าทัพ" โดยเฉพาะ "ผบ.ทบ." หมายรวมไปถึง มทภ.1
ปัจจุบันบุคคลที่มีสิทธิ์นั่ง เก้าอี้ ผบ.ทบ.และ มทภ.1 ถูกกำหนดเงื่อนไขต้องผ่านการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ ของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.)หรือ "ทหารคอแดง"เท่านั้น
ทำให้ช่วง 2-3 ปีให้หลัง อำนาจนายกฯถูกลดทอนลง ไม่เพียงแต่ตัว ผบ.ทบ.(พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้)ปัจจุบันเท่านั้นที่ไม่ใช่คนจากฝ่ายการเมือง ตำแหน่ง "มทภ.1" ที่ "พี่น้อง 3 ป." ล็อคสเปค ต้องเป็น "บูรพาพยัคฆ์ -ทหารเสือราชินี" หลักประกันความมั่นคงของรัฐบาลก็ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วเช่นกัน
เป็นที่รู้ภายในกองทัพภาคที่ 1 มาระยะหนึ่ง หลัง "พล.ต.พนา" เข้ารับการฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์ ของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.)ฉบับเร่งด่วนเพียงคนเดียวตัวต่อตัว เมื่อ 9 พ.ค.2565 ก่อนจะเริ่มจัดทำบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารปลายปี
แน่นอนว่าพลันที่โผทหารได้รับการโปรดเกล้าฯประกาศในราชกิจจานุเบกษาในช่วงค่ำ 10 ก.ย.2565 ชื่อ "พล.ต.พนา" เป็น มทภ.1 ส่วน "พล.ท. ธราพงษ์" น้องรัก "บิ๊กป้อม" ทหารคอแดงสายบูรพาพยัคฆ์ ถูกโยกไปนั่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษ กองทัพบก
โดย "พล.ต.พนา" มีต้นกำเนิดมาจาก ร.31 รอ. กรมหมวกแดงของ พล.1 รอ. เช่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ทหารคอแดงวงศ์เทวัญ ทั้งสองคนเป็นเด็กปั้นของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ในสมัยนั่งเป็น ผบ.ทบ. ปัจจุบันเป็นรองราชเลขาธิการ ส่วนบิดา พล.อ.ปรีชา แคล้วปลอดทุกข์ เป็น ราชองครักษ์เวรพิเศษ
นอกจาก "พล.ต.พนา" จะเป็นทหารหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว หรือ RDF แล้วยังเป็น ผบ.พล.ร.11 บทบาทสำคัญวางแผน วางระบบคุมการฝึก "กองพลสไตรเกอร์" ที่ก่อตั้งขึ้นยุค "บิ๊กแดง" เป็น ผบ.ทบ. หลังมีการปรับโครงสร้างหน่วย เปลี่ยนสถานะเป็นกองพลรบหลักของกองทัพภาคที่ 1 และจัดหารถเกราะสไตรเกอร์ จากสหรัฐฯ
และด้วยอายุราชการที่ยาวถึงปี 2570 ทำให้ "พล.ต.พนา" คือตัวเลือกเหมาะสมที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคตเพื่อรองรับเตรียมทหารรุ่น 28 รุ่นดังที่จะเข้ามารับไม้ต่อคุมกองทัพ ทั้ง พล.ต.วรยศ เหลืองสุวรรณ ( ตท. 28 ) ผบ.พล.1 รอ. เป็นรองแม่ทัพภาค1 คาดว่า จะเป็น มทภ.1 คนต่อไป
และโผโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ยังเปลี่ยนผู้บัญชาการกองพลหลักถึง 3 กองพลที่มาจาก ตท.28 ทั้งสิ้นได้แก่ พล.ต. สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผบ.มทบ.11 เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. พ.อ.ณัฐเดช จันทรางศุ รอง ผบ.พล.1 รอ. เป็น ผบ.พล.1 รอ. พ.อ.วุธยา จันทมาศ รองผบ.พล.ร.9 เป็น ผบ.พล.ร.9
จะเห็นได้ว่าเป้าหมายที่จะผลักดัน ตท.รุ่น 28 ขึ้นมาคุมกองทัพ เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงให้ได้ในปี 2570 เริ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เอาแน่นอนไม่ได้กับอนาคตของ "พี่น้อง 3 ป." ที่กำลังนับถอยหลังรอวันสิ้นสุดได้ทุกเมื่อ