"ภูมิใจดูด" วัดพลัง "เพื่อดูไบ" ตั้งเป้า "นัมเบอร์วัน" ต้นขั้วการเมือง
หลัง "อนุทิน"ประกาศชัดเป็น "พรรคตั้งต้นจับขั้ว" สนามการเมืองต้องจับตาพิเศษที่สนามอีสานอันเป็นสมรภูมิสำคัญ ซึ่ง "ค่ายภูมิใจดูด" จะต้องไปสู้ค่าย"เพื่อดูไบ" เพื่อตุนแต้มขึ้นแท่น "นัมเบอร์วัน"
พลันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กตต.) ออกมา “เปิดแผน” เตรียมการการเลือกตั้ง ทั้งกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรครบวาระในวันที่ 23 มี.ค.2566 แล้ว ตามบทบัญญัติมาตรา 102 แห่งรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ ซึ่งไทม์ไลน์จะไปบรรจบที่การเลือกตั้งสนามใหญ่ในวันที่ 7 พ.ค.2566
ทั้งนี้ หากเป็นกรณี “ยุบสภา” ตามไทม์ไลน์ กกต.จะต้องกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 กำหนด ซึ่งภายใน 5 วันนับแต่วันมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา กกต.จะประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป
เมื่อความชัดเจนปรากฏ จึงส่งผลให้ความเคลื่อนไหวใน “สนามการเมือง” ยามนี้ ต่างประโคมโหมโรงลงพื้นที่ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร พร้อมงัดสารพัดกลเม็ด โชว์นโยบาย ออกมาบลัพกันอย่างดุเดือด
ไม่เว้นแม้แต่ “ค่ายสีน้ำเงิน” อย่างภูมิใจไทย ที่ล่าสุด “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค นำทัพขุนพลลุยเมืองขอนแก่น เปิดตัว“8 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.” จากทั้งหมด 11 เขต ประกอบด้วย เขต 1 “นันนี่” ฐิตินันท์ แสงนาค เขต 2 “ต้อม” วัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น เขต 4 เอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ
เขต 6 “สจ.หนุ่ม” วิศรุต ปู่เพ็ง ส.อบจ.ขอนแก่น เขต อ.ชุมแพ เขต 7.“บุ้ง” ปริญญ์ ศรีภักดี เขต 8 “ครูศักดิ์” สุรศักดิ์ ไทยน้อย เขต 10 “ครูแม็ค” องอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ อดีต ส.อบจ.ขอนแก่น เขต อ.บ้านไผ่ และเขต 11 เจริญ แซ่เต็ง อดีตนายกเทศมนตรี ต.บ้านโต้น
บนเวทีเปิดตัว “ว่าที่ผู้สมัคร” ภูมิใจไทยตอกย้ำสโลแกนพรรค “เว้าแล้วเฮ็ด” หรือ “พูดแล้วทำ” สะท้อนไปยังหลายนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น นโยบายกัญชา ที่ยามนี้เกิดศึกระหว่างพรรคการเมือง นโยบายกองทุนเงินกู้เพื่อการศึกษา (กยศ.)ปลอดดอกเบี้ย ซึ่งล่าสุดได้รับความเห็นชอบจากสภา ซึ่งภูมิใจไทยพยายามตอกย้ำว่านี่คือผลงาน“ชิ้นโบแดง” ของค่ายสีน้ำเงิน
ยิ่งไปกว่านั้น ศึกรอบนี้ “อนุทิน” ยังตั้งเป้า“สูงลิบ” ในการหมายมั่นปั้นภูมิใจไทยให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่ “พรรคตัวแปร” เหมือนรอบที่แล้ว หากแต่ทวีความอหังการไปถึง “พรรคนัมเบอร์วัน” เพื่อเป็น “แกนนำใหม่” จับขั้วการเมือง
อนุทิน ตอกย้ำคำให้สัมภาษณ์สื่อ “เราอยากเป็นต้นขั้วการเมือง อันนี้คือเป้าหมายเรา แต่มันต้องดูด้วยว่า ถึงเวลาแล้วเราจะได้รับความไว้วางใจขนาดไหน การเป็นต้นขั้วการเมือง เป็นพรรคหลักของขั้วการเมือง ถ้าเป็นรัฐบาลก็สามารถผลักดันนโยบายได้มากขึ้นไปอีก แรงผลักดันมันสูงกว่า หรือถ้าเป็นฝ่ายค้าน การตรวจสอบก็มีความเข้มข้นขึ้น การทำงานเพื่อประชาชน มันจะมาผ่อนเครื่องกันไม่ได้ เหมือนกับเวลาลงพื้นที่หาเสียง เราก็ลุยเต็มสูบ”
ทว่า การจะเป็น “พรรคต้นขั้ว” หรือเป็นพรรค “เลือกได้เอาใครบ้าง” ตามที่ “อนุทิน” พูดนั้น ภูมิใจไทยจำต้องยึดฐานที่มั่นสำคัญ ทั้งภาคกลางบางจังหวัดซึ่งเป็นขุมกำลังเดิม รวมถึงภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ “อนุทิน” ประกาศตอกเสาเข็ม-แลนด์สไลด์กวาดฝั่งอันดามัน
อีกขุมกำลังที่สำคัญที่สุด คือ “สนามอีสาน” ซึ่งมีจำนวน ส.ส.มากที่สุด ซึ่ง“ทัพหนู” จะต้องไปสู้ “ค่ายนายใหญ่ดูไบ” ที่ประกาศ “ไล่หนู”
ในการเลือกตั้งสมัยหน้า “สมรภูมิอีสาน” จะมีจำนวน ส.ส.เพิ่มจาก 126 ที่นั่ง เป็น 132 ที่นั่ง โดยแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะเผชิญเกมดูด ส.ส.รวมถึงพิษงูเห่าในหลายพื้นที่ภาคอีสาน ยามนี้ยังดูเหมือนไม่ยี่หระอะไรมากนัก
กลับกันยังคงมั่นคง มั่นอกมั่นใจ ในนโยบายยุค “ทักษิณโมเดล” บวกการโหม“กระแสแลนด์สไลด์” รวมถึงการชู “แบรนด์ชินวัตร” โดยเฉพาะการนำทัพของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพื่อดันให้เพื่อไทยเป็นต่อทุกประตู
ในวันเปิดตัว “93 ผู้สมัคร ส.ส.” ภาคอีสาน หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศชูนโยบายทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น ดีกว่าที่เป็นอยู่ และดีกว่า 8 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้หนี้สินเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในวันที่นำทัพลงพื้นที่ด้วยสโลแกน “ไล่หนู-ตีงูเห่า” ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา “อุ๊งอิ๊ง” ได้เล่าย้อนไปถึงการลงพื้นที่ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อ เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ได้ลงพื้นที่ อ.อุทุมพรพิสัย พร้อมชูนโยบายแก้จนให้ได้ภายใน 3 ปี คำว่าคนจนต้องหมดแผ่นดิน
“บันไดขั้นแรก คือแลนด์สไลด์ ชนะเลือกตั้งให้ถล่มทลาย เราจะไม่ยอมให้ใครมาปล้นอำนาจอีกแล้ว อำนาจรัฐเท่านั้นที่จะทำให้เพื่อไทยเข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตพี่น้อง อยากพ้นหนี้ อยากหายมีหนี้ อยากหายจนไปนานๆ เลือกพรรคเพื่อไทย กลับบ้านเรารักรออยู่ กลับมาช่วยทำให้คนไทยดีขึ้น กลับมาทำให้ประเทศน่าอยู่กว่านี้ เป็นประเทศของเราทุกคน” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวขณะนั้น
ฉะนั้น ด้วยคู่แข่งที่เป็น “กระดูกชิ้นโต” สนามเลือกตั้งภาคอีสานรอบนี้ นอกเหนือจาก “บุรีรัมย์โมเดล” อันเป็นบ้านเกิด “พ่อใหญ่” เนวิน ชิดชอบ รวมถึงอนุทิน ซึ่งมีสำมะโนครัวอยู่ที่นั่นแล้ว แกนนำภูมิใจไทย ยังคาดหวังไว้ที่ บรรดา ส.ส.“ส.ส.บ้านใหญ่” ที่ดูดมาทั้งจากค่ายเพื่อไทย ว่าจะจับทางกลเกมของบ้านเก่าได้ไม่ยาก
ในวันเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น “อนุทิน” พยายามชูจุดขาย นโยบายเพื่อคนอีสาน
1.การให้สิทธิพักหนี้คนละไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นการพักหนี้แบบ หยุดต้น ปลอดดอก เป็นเวลา 3 ปี เท่ากับเวลาที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากโควิด หนี้ธนาคาร หนี้สหกรณ์ หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนรถยนต์ หนี้ผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ หนี้กองทุนหมู่บ้าน ใช้สิทธิได้ทั้งหมด ยกเว้นหนี้นอกระบบ ใช้สิทธิไม่ได้
2.จะผลักดันภาษีบ้านเกิดเมืองนอน คนไทยทุกคน บริษัทห้างร้านทุกบริษัทที่เสียภาษี มีสิทธิกำหนดให้ภาษีที่ตัวเองจ่าย อย่างน้อยร้อยละ 30 ถูกนำไปใช้พัฒนา แก้ปัญหาให้กับท้องถิ่นที่ตัวเองต้องการ จะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนจ่ายภาษีแล้ว ได้รู้ว่าภาษีของตัวเองเอาไปใช้ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
นอกจากนี้จะมีนโยบาย 3.ไฟฟ้าประชาชน คนไทยทุกครัวเรือน มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ “การไฟฟ้าประชาชน” ใช้พื้นที่บ้านของตัวเอง หรือพื้นที่ส่วนกลางในชุมชน ติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับรัฐบาล จะช่วยทุกครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้รัฐบาล และลดค่าไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่า 500 บาทต่อเดือน ที่สำคัญคือช่วยให้รัฐบาลลดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า ลดการนำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ
และ 4.พัฒนา อสม. เป็น สมาร์ท อสม. เพิ่มค่าตอบแทนให้ อสม. เป็นเดือนละ 2,000 บาท ให้ อสม.เป็นฐานรากที่เข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย สร้างสุขภาพที่แข็งแรงให้คนไทย ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วย นำเงินที่ลดได้มาพัฒนาการทำงานของ อสม.
ถือเป็นชุดนโยบายใหม่ และต่อยอดนโยบายเก่า ที่ภูมิใจไทยคิดค้นมาโกยคะแนนเที่ยวนี้
ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ครั้งนั้นพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 5 ด้วยจำนวน ส.ส.ในสภาฯ 51คน ขณะที่ ณ ปัจจุบัน มี ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 64 คน ยังไม่นับรวมกับ ส.ส.งูเห่า รวมถึงส.ส.ที่มีข่าวย้ายพรรคราวๆ 15 เสียงเท่ากับว่า ยามนี้ภูมิใจไทยมี ส.ส.อยู่ในมือ 79 เสียง
ทว่า ศึกรอบหน้าซึ่ง “เนวิน-อนุทิน” ตั้งเป้าไว้ที่พรรคเกิน 100 จึงจะเป็นพรรคตั้งต้นตามที่ระบุ ขณะที่บรรดาผู้สมัคร โดยเฉพาะกลุ่ม ส.ส.ย้ายพรรค ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ส.ส.งูเห่า รอบที่แล้วมีหลายคนที่เข้าสภาได้ด้วยเรทติ้งพรรคเดิม รอบนี้อาจมีเดิมพันสูง โดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานเพื่อลบล้างข้อกล่าวหา “หักหลัง” หรือ “ทรยศ” บ้านเก่าให้ได้ ไม่เช่นนั้นฝันที่ “หัวหน้าหนู” ประกาศว่าจะเป็นพรรคตั้งต้น ก็อาจสะดุดตามไปด้วย
หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 “ภูมิใจไทย” ประกาศจับมือ “ประชาธิปัตย์” ในการรวบรวมเสียงจับขั้วการเมือง ทว่าด้วยกลเกมการเมืองที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะศึก กยศ. ลามมายังกัญชา จนสั่นคลอนสถานภาพพรรคร่วมรัฐบาล จุดนี้เองที่ทำให้ภูมิใจไทยต้องปรับเกม ชิงความได้เปรียบเพื่อเป็น “พรรคนัมเบอร์วัน”ให้ได้
กลเกมของค่ายสีน้ำเงิน ยามนี้จึงเร่งระดมดูด ส.ส.ต่างค่าย ย้ายเข้าสังกัด แม้แต่ “อนุทิน” เองยังยอมรับวลี “ภูมิใจดูด” เพื่อเปิดทางสู่การครองอำนาจหลังจากนี้
เหมือนดังที่ “อนุทิน” เคยอธิบายเกี่ยวกับ “มายเซ็ท” ของตัวเอง ไว้ในหนังสือบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวตนที่ชื่อ “มีรู...มีหนู” ที่ได้เขียนไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ครั้งนั้นหัวหน้าภูมิใจไทยได้ขยายความคำว่า “มีรู...มีหนู” หมายถึง “ที่ไหนมีโอกาส ที่นั่น มีอนุทิน” นั่นเอง!