“เผา-ระเบิด” โหมโรงป่วนเอเปค สกัดซ้ำรอยปี 52 ดิสเครดิตรัฐบาล
นับจากวันนี้ (17 พ.ย.) จนถึง 19 พ.ย.การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคจะลุล่วงไปด้วยดี หรือจะซ้ำรอยเหมือนในอดีต ซึ่งจะเป็นสิ่งชี้วัดถึงความมีประสิทธิภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สำหรับเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ กทม.และ ปริมณฑล รวดเดียว 4 จุด ตลอดทั้งวันของวันที่ 15 พ.ย.2565 รับวันหยุดยาวการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค หรือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC 2022)
โดยการก่อเหตุเป็นไปในลักษณะดำเนินการเริ่มจากพื้นที่รอบใน และขยับไปพื้นที่รอบนอก และจบลงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามลำดับดังต่อไปนี้
เวลา 10.40 น.เพลิงไฟไหม้สายไฟฟ้า บริเวณสะพานลอย ที่พัฒนาการ 49 เขตสวนหลวง กทม.
เวลา 13.48 น.เพลิงไฟไหม้อาคาร คลินิคเสริมความงาม ตรงข้ามโลตัส พระราม 1 ปทุมวัน กทม.
เวลา 14.00 น.เพลิงไหม้โกดังเก็บเฟอร์นิเจอร์ พื้นที่ซอยวัดพระเงิน ต.ศาลากลาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
เวลา 17.00 เหตุเพลิงไหม้โรงงานรองเท้าแอร์โร่ซอฟท์ บางนาตราด กม.15-16 ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ตบท้ายด้วย จ.ปัตตานี เกิดเหตุระเบิดไล่เลี่ยกัน 2 จุด เวลาประมาณ 20.10 น. เกิดเหตุภายในปั้มน้ำมัน ปตท. ถนนสาย 42 ใกล้สถานีขนส่งปัตตานี ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี
อีกจุด เกิดเหตุระเบิดภายในปั้ม PT ริมถนนสาย 42 ต.ปิยามุมัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ยังไม่ทราบลักษณะการเกิดเหตุ
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัยและจราจร (กอร.รปภ.จร.) ในช่วงการประชุมเอเปค (APEC) เรียกประชุม กอร.รปภ.จร. ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในช่วงเช้าตรู่วันถัดมา
โดยมี พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ในฐานะรองประธานที่ทำการส่วนหน้า กองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัยและอำนวยการจราจรประจำสถานที่ประชุม APEC ประจำโรงแรมที่พัก ประจำสถานที่จัดงานกาล่าดินเนอร์ และที่ทำการส่วนหน้าปฏิบัติการเฉพาะด้าน เข้าร่วมรวมถึง กอร.รปภ.จร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยใช้ระบบประชุมทางไกลไปยังศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) และ ที่ทำการส่วนหน้าที่ปฏิบัติการประจำสถานที่ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม เพื่อทราบสถานการณ์ความคืบหน้าในการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่เริ่มทยอยเดินทางเข้าประเทศไทยมาแล้ว
แน่นอนว่า ในที่ประชุมได้พูดถึงเหตุไฟไหม้ต่อเนื่องกัน 4 จุด ใน กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ของกลุ่มไม่หวังดี ซึ่งเป็นไปในลักษณะการก่อกวน หวังทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทย โดยจุดประสงค์หลัก ต้องการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับเหตุลอบวางระเบิด 2 จุด ภายในปั๊มน้ำมัน จ.ปัตตานี
ไม่ต่างกับวอร์รูม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงถายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เกาะติดสถานการณ์คู่ขนาน สั่งการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ภายใต้กำกับดูแล พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 จำกัดการก่อเหตุไม่ให้ลุกลามออกนอกพื้นที่
พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการ กอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) และหน่วยงานความมั่นคงให้ขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุระเบิดป่วนปั้มน้ำมัน 2 จุด ขอให้หน่วยงานข่าวและหน่วยงานความมั่นคง เฝ้าระวังป้องกัน ไม่ประมาทจากการก่อเหตุทั้งในและนอกพื้นที่ที่อาจเกิดขึ้น
โดยให้ยกระดับความเข้มข้น ตื่นตัว เฝ้าระวัง และตรวจสอบติดตามความเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายทั้งในและนอกพื้นที่ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงข้อมูลกับเทคโนโลยีเฝ้าตรวจ เพื่อปฏิบัติการป้องกันเชิงรุก และสามารถปฏิบัติการแก้ปัญหาต่อเหตุการณ์และเป้าหมายได้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์
“เหตุป่วนความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้ และไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใด ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและคนไทยทุกคน ขณะที่เรากำลังสร้างความเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศกับนานาประเทศ และร่วมกันทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพที่ดีให้การต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ และคณะ ระหว่างการประชุม APEC ” พล.อ.คงชีพ กล่าว
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม อาทิ กลุ่มฟื้นฟูประชาธิไตย กลุ่มราษฎรหยุด APEC 2022 และแนวร่วมกลุ่มอื่นๆ ที่ประกาศจะบุกเข้าไปพื้นที่จัดการประชุมผู้นำเอเปคเพื่อยื่นหนังสือ หน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดกับมวลชนที่ฝ่าฝืน
เพราะประเทศไทย เคยได้รับบทเรียนจากการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา จ.ชลบุรี เมื่อ 11 เมษายน 2552 อันนำมาซึ่งความล้มเหลวของประเทศไทย ในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับนานาชาติ ทำลายภาพลักษณ์ของชาติอย่างย่อยยับ หลังกลุ่มคนเสื้อแดง บุกเข้าไปสถานที่จัดงาน จนทำให้การประชุมล่มไม่เป็นท่ามาแล้ว
ดังนั้น นับจากวันนี้ (17 พ.ย.) จนถึง 19 พ.ย.การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคจะลุล่วงไปด้วยดี หรือจะซ้ำรอยเหมือนเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งจะเป็นสิ่งชี้วัดถึงความมีประสิทธิภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะสามารถสร้างผลงานชิ้นส่งท้าย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ก่อนรัฐบาลครบเทอมได้หรือไม่