"ราเมศ" สวน "อนุทิน" กล่าวหาจัดฉากพี้กัญชา ลั่นไม่มีใครปัญญาอ่อน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ สวน "อนุทิน" กล่าวหาจัดฉากพี้กัญชากลางพัทยา ลั่นไม่มีใครปัญญาอ่อน ปลุกนักการเมืองโหวตคว่ำกฎหมาย
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้ออกมากล่าวหา นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีการจัดฉากให้ ให้คนมาถ่ายรูปเด็กกำลังพี้กัญชาที่ริมชายหาดพัทยาเพื่อต้องการให้มีประเด็นในทางการเมืองว่า
นายราเมศ ได้ตอบข้อซักถามนักข่าวในประเด็นนี้ว่า คงไม่มีใครปัญญาอ่อนไปจัดฉาก ซื้อบ้องกัญชา มาให้เด็กพี้กัน เพื่อเอามาเป็นประเด็นห่ำหั่นกันในทางการเมือง นักการเมืองที่ดีที่มีจิตสำนึกไม่มีใครทำกันอย่างแน่นอน แค่คิดก็แย่มากแล้ว
กรณีเด็กพี้กัญชา เรื่มต้นมาจากการนำเสนอข่าวมาจากสื่อมวลชน นพ.บัญญัติ ในฐานะ ส.ส.ที่ได้ติดตามเรื่องนี้ก็ได้นำแถลงเพื่อหาทางในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ภูมิใจไทยต้องหาหลักฐานมาว่า นพ.บัญญัติ จัดฉากอย่างไรทำด้วยวิธีการไหน ให้เวลา 7 วัน ถ้า 7 วัน หาหลักฐานไม่ได้คนพูดก็ต้องแสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้ การกล่าวหาเช่นนี้ในทางการเมืองเสียหายมาก การกล่าวหา นพ.บัญญัติ ชัดเจนว่าเพื่อเป็นข้ออ้างข้อแก้ตัวให้กับนโยบายกัญชาเสรี ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวมที่ปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ
นายราเมศ กล่าวต่อว่า การที่อ้างว่า ถ้าอยากให้ปัญหาหมดไป พรรคประชาธิปัตย์ต้องผ่านร่างกฎหมายกัญชา คำพูดย้อนแย้งอยู่ในตัวทั้งสิ้น นาทีที่ผ่านมาบอกจัดฉาก นาทีต่อมารับว่ามีปัญหา ถ้าอยากแก้ก็กลับโยนมาที่พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่ มีหลายฝ่ายท้วงติง ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็ท้วงติงให้ร่างกฎหมายออกมารอบคอบรัดกุม ถึงพยายามบอกว่ากฎหมายที่ร่าง ยังไม่ได้มีการควบคุมการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน ร่างกฎหมายยังไม่มีมาตราไหนที่จะมาควบคุมอย่างรอบคอบ ถ้าปล่อยให้ร่างกฎหมายผ่านไปเยาวชนคนไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคตนี้คือความห่วงใย
อยากให้นักการเมืองทุกคนได้ตระหนักในเรื่องนี้ การยอมรับปรับแก้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่เรื่องน่าละอาย หากปล่อยให้ร่างกฎหมายผ่าน วันข้างหน้าเดินไปตรงไหนเห็นแต่เด็กและเยาวชนสูบกัญชา มีผลกระทบต่อการเรียนต่อสังคม คนที่ทำหน้าที่ออกกฎหมายจะละอายใจมาก ยกเว้นนักการเมืองที่ไม่มีจิตสำนึกก็จะหาข้ออ้างไปเรื่อย ถึงย้ำว่าเรื่องกัญชาเสรี นักการเมืองอย่านิ่งดูดายสังคมกันเลย
นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่าในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ในทางการเมืองต้องต่อสู้กันอยู่แล้ว พรรคภูมิใจไทยไม่ควรมาท้าทาย แต่หลักการต่อสู้ต้องอยู่ภายใต้ครรลองของระบบประชาธิปไตย ต่อสู้กันด้วยหลักสุจริต ต่อสู้กันด้วยนโยบายที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ท้ายที่สุดเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ