"ครูแก้ว" ยัน ครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ชอบด้วยกฎหมาย ยันพร้อมถูกสอบ
รองประธานสภา ยืนยัน ปมครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย 200 ไร่ ดำเนินการชอบด้วยกฎหมาย ปัดใช้ตำแหน่งส.ส.เอื้อประโยชน์ พร้อมวอนกรรมการจริยธรรมสภา เร่งตรวจสอบ
mujศูนย์ประสานพรรคภูมิใจไทย จ.นครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่า คณะกรรมาธิการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร เตรียมเสนอวาระเข้าสภาเพื่อพิจารณาเอาผิด หลังได้รับเรื่องร้องเรียน ครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ที่บริเวณ ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่มีการร้องไปที่กรรมาธิการจริยธรรม ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการจริยะธรรมฯ ไปแล้ว ว่าตนได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2531 ถึง 2532 ทำการเกษตร จำนวนประมาณ 200 ไร่ ซึ่งขณะนั้นตนยังเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านท่าหนามแก้ว ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
และตนมาเป็น ส.ส.เมื่อ ปี 2544 นั่นย่อมแสดงว่าตนไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ความเป็น ส.ส.เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเหล่านั้นแต่อย่างใด และขอร้องให้นายชวน หลีกภัยประธานสภาฯ เร่งให้ กมธ.จริยธรรมเร่งให้ตรวจสอบ ให้สิ้นสุดกระแสความในสภาฯชุดนี้ แม้จะมีคนบอกว่าให้อยู่เฉยๆ เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นสุดสภาและเรื่องที่ กมธ.จริยธรรมจะสิ้นสุดไป ซึ่งสุดท้ายหากผลการตรวจสอบออกมาเป็นอย่างไร ตนก็พร้อมน้อมรับ
นายศุภชัย กล่าวว่า ข้อเท็จจริง เมื่อปี 2518 ถึง 2519 รัฐบาลได้ทำการจัดสรรที่ดินป่าดงพะทายให้ชาวบ้านทำกินโดยแบ่งเป็นล็อคๆ ละ 10 ไร่เพื่อทำการเกษตร และยังให้เป็นที่อยู่อาศัยอีกคนละ 1 ไร่ โดยมีคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการ หลังจากที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติจัดเสร็จแล้ว ก็ปิดโครงการ และมอบที่ดินให้อยู่ในความรับผิดชอบของ ผู้ว่าราขการจังหวัดนครพนม โดยสำนักงานที่ดิน จ.นครพนมสาขาท่าอุเทน เป็นผู้รับผิดชอบ
ต่อมาชาวบ้านที่ได้รับจัดสรรได้รับใบจองที่ทางการออกให้แล้ว ไม่เข้าไปทำประโยชน์ เนื่องจากเป็นคนต่างถิ่นเห็นว่าเป็นที่ทุรกันดาร จึงมอบสิทธิ์ด้วยวิธีต่างไป หลังจากจับฉลากได้ใบจองมาแล้ว ชาวบ้านในพื้นที่จึงเข้าครอบครองสิทธิ์ไว้ เป็นเหตุให้ต่อมาปรากฏชื่อ ผู้ครอบครองทำกินในที่ดินบริเวณนั้นส่วนใหญ่ คือ คนในพื้นที่ ที่ไม่มีชื่อในใบจองและ ต่อมามีการ เปลี่ยนมือกันมาเรื่อยๆ ด้วยอาศัยการใช้สัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สละสิทธิ์ไปแล้ว เปลี่ยนใจจนเกิดปัญหา ภายหลัง และต่อมาก็ทำกินในที่ดินโดยไม่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ เนื่องจากไม่สามารถขอออกเอกสารสิทธิ์ได้เพราะที่ที่ครอบครองอยู่เอกสารใบจองเป็นชื่อของคนนอกพื้นที่ ก็เลยยืดเยื้อเป็นปัญหาเรื่อยมา
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ต่อมาอธิบดีกรมที่ดินโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมผู้รับมอบอำนาจ ได้วางนโยบายให้สำนักงานที่ดินฯ ได้มีการสำรวจ ถ้าใครได้ใบจองแล้วทำผิดเงื่อนไข ไม่เข้าทำประโยชน์ หรือซื้อขายเปลี่ยนมือไปทำให้ผิดเงื่อนไข เนื่องจากใบจองจริงๆ ซื้อขายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจำหน่ายใบจองที่ผู้มีชื่อในใบจองแต่ไม่เข้าทำประโยชน์ ออกไปก่อน เพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทางผู้ว่าฯ นครพนม จึงได้ทยอยประกาศจำหน่ายใบจองในพื้นที่ป่าดงพะทาย จำนวน ทั้งหมดประมาณ 20,000 ไร่ โดยมีผู้ที่ครอบครองที่ดินและทำกินอยู่ไม่ตรงชื่อตามใบจอง รวมทั้งสิ้นถึง 880แปลง จากนั้นคนที่ครอบครองอยู่จึงจะสามารถไปดำเนินการขอออกเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายที่ดินต่อไป
"การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ลงนามเพิกถอนใบจองในครั้งนี้นั้น เป็นการจำหน่ายใบจองของประชาชนที่มีชื่อครอบครองที่ดินแต่ไม่ได้เข้าทำประโยชน์ เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองทำกินจริงๆ สามารถใช้ช่องทางตามกฎหมายที่ดินขอออกเอกสารสิทธิ์ได้ต่อไปนั่นเอง จึงไม่ใช่การประกาศยึดที่ของใครคนใดคนหนึ่งตามที่เป็นข่าว ซึ่งที่ของผมก็ไม่มีใครยึดได้ เพราะตนครอบครองมา 30 กว่าปีแล้ว การที่ลงข่าวพาดหัวดังกล่าว น่าจะเป็นเจตนาที่ไม่เข้าใจ เรื่องราวที่แท้จริง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของนักการเมือง เรื่องของประธานสภา ถ้าไปเล่นข่าวเรื่องนี้ก็โด่งดังไปขายข่าวได้ ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาและแสวงหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ และพื้นที่ดังกล่าวก็ไม่ใช่พื้นที่ป่า เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า" นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28ก.ย.2565 นายบุญนาก ถิระสวัสดี เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ได้มีหนังสือรายงานข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กรณีได้รับแจ้งจากคณะอนุกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ว่าได้ส่งเรื่องขอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมตรวจสอบการครอบครองที่ดินบริเวณป่าดงพะทาย ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ของตน ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งรายงานดังกล่าวระบุว่า ในปี 2518 ถึง 2519 กรมที่ดินได้มีโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ป่าดงพะทาย ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 1 , 5 , 6 และ 9 ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มีเนื้อที่ประมาณ 21,500 ไร่ และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่า นายศุภชัย โพธิ์สุ ได้ครอบครองที่ดินบริเวณป่าดงพะทาย จำนวนทั้งสิ้น 40 แปลงหรือ ประมาณ 200 ไร่ เมื่อประมาณปี 2532 และที่ดินทั้ง 40 แปลงดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้มีคำสั่งให้ผู้มีชื่อตามใบจองออกไปจากที่ดินและขาดสิทธิ์ไปทั้งหมดแล้ว โดยในการจัดสรรที่ดินครั้งนั้นจังหวัดนครพนมได้ปิดหน่วยจัดที่ดินและรายงานผลการดำเนินการให้กรมที่ดินทราบแล้วซึ่งถือได้ว่าภาระกิจการจัดที่ดินตามโครงการได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติเสร็จสิ้นแล้ว
"ดังนั้น ที่ดินที่จัดสรรจึงตกอยู่ภายใต้กฎหมายทั่วไป กล่าวคือ ที่ดินส่วนที่เป็นถนนหรือที่สาธารณะประโยชน์จะมีสถานะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันส่วนที่ดินที่จัดสรรให้แก่ราษฎรอยู่อาศัยและทำกินแต่ผู้ได้รับการจัดสรรเดิมได้ละทิ้งไปด้วยเหตุผลประการใดก็ตามเมื่ออธิบดีกรมที่ดินโดยผู้ว่าราชการจังหวัดผู้รับมอบอำนาจได้มีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเดิมออกจากที่ดินตามมาตรา 32 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้วที่ดินนั้นก็จะมีสถานะเป็นที่สาธารณะประโยชน์ประเภท รกร้างว่างเปล่า ประกอบกับที่ดินบริเวณดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดให้เป็นเขตป่าไม้ถาวรหรือที่ป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินเดิมออกแล้ว ผมก็สามารถเข้าครอบครองทำประโยชน์ได้และสามารถขอออกเอกสารสิทธิ์เพื่อออกโฉนดได้ด้วย โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด" นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าวในสมัยตนเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในปี 2553 ก็เคยถูกฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องดังกล่าว อีกทางหนึ่งก็ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแต่ปรากฎว่าจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้มีการตัดสินอะไรออกมา ย่อมสันนิษฐานได้ว่าไม่มีความผิดอะไร