“มิ่งขวัญ” ซัดก่อนซบ “พปชร.” จากปฏิปักษ์ 3ป. สู่มิตร “ประวิตร”
"มิ่งขวัญ" กำลังกลับลำแบบ 360 องศา จากคนที่เคยโจมตี การทำงานของ "ประยุทธ์" และ นโยบาย "พปชร." ประกาศชัดไม่ร่วมสังฆกรรมก๊วนสืบทอดอำนาจ แต่มาวันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
นาทีนี้พลังประชารัฐกำลังจัดทัพรับเลือกตั้งกันอย่างขะมักเขม้น ล่าสุด เตรียมเปิดตัวมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เข้ามานำทัพทีมเศรษฐกิจของพรรค ที่อยู่ระหว่างเตรียมการเปิดตัวในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ ว่ากันว่า งานนี้มีนายตำรวจใหญ่เป็นสะพานเชื่อมไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า การมาของมิ่งขวัญ ครั้งนี้ เป็นเพราะไร้เงื่อนไขของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แยกทางกับพลังประชารัฐ โดยเตรียมไปร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มแฟนคลับมิ่งขวัญ ดูจะรู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจครั้งนี้ไม่น้อย
เนื่องจากตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มิ่งขวัญ เป็นอีกคนที่อยู่ตรงข้ามกับพลังประชารัฐ และพี่น้อง3ป. มาโดยตลอด
ครั้งหนึ่ง มิ่งขวัญ เคยออกมาประกาศไม่เห็นด้วยกับนโยบายขึ้นค่าแรง จาก300 บาท เป็น 425 บาท ของพลังประชารัฐ พร้อมกับให้เหตุผลว่า ถ้าทำอย่างนั้น เตรียมตัวกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 100 บาทได้เลย และยังเตือนว่า อย่าทำ เพราะจะเกิดเงินเฟ้อรุนแรงเหมือนประเทศเวเนซุเอล่า
แม้ว่าช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง ปี 62 มิ่งขวัญ จะเคยถูกจับตามาตลอดถึงท่าทีทางการเมือง ว่าจะพา ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ ไปจับมือกับพลังประชารัฐ จนมีเสียงวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียกว้างขวาง ทำให้เจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธ พร้อมกับยืนยันว่า เป็นคนรักษาคำพูดและจุดยืนทางการเมือง จะอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ
ถึงขนาดมิ่งขวัญเคยประกาศบนเวทีดีเบตที่จัดโดยสำนักข่าวแห่งหนึ่งว่า “ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ผมไม่ไปอยู่พลังประชารัฐ และไม่เคยคิดไปอยู่เลย ผมไม่เคยเปลี่ยนคำพูด คนนี้คำไหนคำนั้น ผมเป็นคนรักษาคำพูด”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มิ่งขวัญ มีบทบาทในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลายครั้ง โดยเน้นโจมตีการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ เช่น ในศึกซักฟอกเมื่อปี 64 ถึงขนาดกราบวิงวอนกลางสภาให้นายกฯ ลาออก เพื่อให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนเพราะพล.อ.ประยุทธ์ เอาประเทศไม่รอด หาเงินไม่เก่ง ยิ่งเจอโควิด-19 หาเงินเข้าประเทศไม่ได้ใช้จ่ายเกินตัวทำให้เกิดหนี้มหาศาล เศรษฐกิจพังแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
อย่างไรก็ตาม นิยามของคำว่าฝ่ายประชาธิปไตย ในบริบทการเมืองปัจจุบัน พลังประชารัฐ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเช่นนั้น แต่กลับถูกจัดในหมวดตรงกันข้าม คือเป็นพรรคที่สืบทอดอำนาจด้วยซ้ำ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ 3ป. ที่เปลี่ยนผ่านมาจากยุคคสช. และยังมีเสียง 250 ส.ว. ให้การสนับสนุน
ทว่าวันนี้ ปัจจัยและเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน โดยเฉพาะระบบเลือกตั้ง 2 ใบ หาร 100 ที่พรรคใหญ่ได้ประโยชน์ กดดันให้บรรดาพรรคเล็กต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับมิ่งขวัญหรือไม่ และถ้าหลังเลือกตั้ง พลังประชารัฐ จับมือกับรวมไทยสร้างชาติ มิ่งขวัญ จะรับเงื่อนไขได้หรือไม่ เมื่อมีพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสมการเดียวกัน