“มิ่งขวัญ” 4 ปี ย้าย 3 พรรค เปิดดีลนำทีมเศรษฐกิจ พปชร.
“มิ่งขวัญ” ที่เคยยื่นข้อเสนอกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในช่วงการเลือกตั้งปี 2554 แต่สุดท้าย “ทักษิณ” ทุบโต๊ะส่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นแคนดิเดตนายกฯแทน แม้การเลือกตั้งปี 2554 “มิ่งขวัญ” จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่กลับไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี”
วลี “ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด เมื่อพูดแล้วคำพูดเป็นนายเรา” ยังใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยและทุกคน เช่นเดียวกันกับ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” นักกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ทางการเมือง ซึ่งถูกแรงต่อต้านอย่างหนัก หลังมีกระแสข่าวตัดสินใจจะเปิดตัวเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)
โดยมีกำหนดการเปิดตัวเข้า “ทีมบิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ ซึ่งต้องจับตาว่า “มิ่งขวัญ” จะกล้าฝ่ากระแสต้านหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา เจ้าตัวมักเหนียมอาย ยอมถอยเมื่อมีกระแสต่อต้าน หากย้อนคำพูด “มิ่งขวัญ” ที่เคยอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา152 เมื่อวันที่17 ก.พ. 2565 มิ่งขวัญได้เน้นย้ำถึงความล้มเหลวในการบริหารราชการของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์”
โดยระบุตอนหนึ่งว่า ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เกิดนวัตกรรมศัพท์ขึ้นมาใหม่ 2 คำ คำแรกคือคำว่า “งูเห่า” คำที่สองคือคำว่า “ลิงกินกล้วย” ผมบอกเลยว่าถ้าผมจะพูดเป็นภาษาชาวบ้านผมเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมเพิ่งเข้าใจแสลงนี้ชัดเจนวันนี้ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ก็คือ ผมขออภิปรายและไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าท่านไปทำอะไร หรือให้ใครไปทำอะไร ทำไมพวกเขาเหล่านั้นจึงเปลี่ยนจุดยืน ผมขอบอกไว้เลยว่า สัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ผมไม่สามารถทรยศได้ 2 ปีเศษ ผมไม่มีความสุขกับการทำงาน” มิ่งขวัญ กล่าวกลางสภา เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565
นอกจากนี้ “มิ่งขวัญ” เคยประกาศชัดว่าจะไม่ขอร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ หากได้รับการทาบทามจากพรรคเพื่อไทย ก็สนใจที่จะเข้าร่วมงานด้วย แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ใจของ “มิ่งขวัญ” ได้เปลี่ยนตามไปด้วย
แม้จะกล่าวอ้างว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม จะไม่อยู่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ตัวเองมีความชอบธรรมในการย้ายเข้าพรรคพลังประชารัฐ แต่มิ่งขวัญ จะยอมรับได้หรือไม่ หากพล.อ.ประวิตร จะจับมือกับพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2566
อย่างไรก็ตาม ชื่อของ “มิ่งขวัญ” ถูกตีตราว่าเป็นนักการตลาดคอยปั่นกระแสสร้างความนิยมให้พรรคการเมือง การเลือกตั้งปี 2562 พรรคเศษฐกิจใหม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เข้าสภา 6 ที่นั่ง มาจากน้ำพักน้ำแรงของ “มิ่งขวัญ” เพียงคนเดียว ทว่าลูกทีมกลับปันใจให้ “ขั้วรัฐบาล” สุดท้ายจึงต้องแยกทางกัน
จากนั้น “มิ่งขวัญ” เดินสายต่อรองหลายพรรค ขอเข้าร่วมงานด้วย อาทิ พรรคไทยสร้างไทยของ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” พรรคเศฐษฐกิจไทยของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” แต่ยี่ห้อ “มิ่งขวัญ” ที่สำคัญตัวเองสูงลิบ มักต่อรองตำแหน่งแห่งหน จนทำให้หลายพรรคเซย์โน
ก่อนที่ชื่อ “มิ่งขวัญ” จะไปเข้าตา “ดำรง พิเดช” จากพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย โดยให้สัญญาใจ จะช่วยกันสานต่องานพรรค ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น”พรรคโอกาสไทย” โดยหมายมั่นปั้นมือ จะปรับกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ รีแบรนด์พรรคเพื่อเพิ่มโอกาสให้มี ส.ส. เข้าสภาอีกครั้ง
แต่เมื่อกลไกรัฐธรรมนูญ บัตรสองใบ สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ หาร 100 ทำให้ “มิ่งขวัญ” คำนวณได้ว่าพรรคโอกาสไทย ไม่มีโอกาสที่จะได้ ส.ส. เข้าสภา จึงขอกระโดดหนีตาย เข้าสู่อ้อมกอด “ประวิตร-พรรคพลังประชารัฐ”
มีกระแสข่าวว่า “มิ่งขวัญ” เปิดโต๊ะเจรจาขอนั่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พร้อมต่อรองลำดับส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่เกินลำดับ 8 โดย “ประวิตร” โอเค ตามคำขอ ส่วนจะถูกใจ “ลูกพรรคพลังประชารัฐ” หรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ระดับ “บิ๊กบราเธอร์” ทุบโต๊ะลูกพรรคย่อมไม่หือไม่อือ แม้จะต้องเปิดศึกชิงลำดับ ส.ส. บัญชีรายชื่อ กันอีกหลายยกก็ตาม
หากย้อนดูประวัติของ “มิ่งขวัญ” ที่เคยยื่นข้อเสนอกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในช่วงการเลือกตั้งปี 2554 ภายหลังได้รับมอบให้เป็นผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้ “มิ่งขวัญ” มั่นใจว่าตัวเองจะได้รับความไว้วางใจจาก “ตระกูลชินวัตร”
แต่สุดท้าย “ทักษิณ” ทุบโต๊ะส่ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯแทน ซึ่งแม้การเลือกตั้งปี 2554 “มิ่งขวัญ” จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 6 ของพรรคเพื่อไทย แต่กลับไม่ได้เป็น “รัฐมนตรี” และถูกลดบทบาทลง สุดท้ายจึงประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในเดือน ธ.ค. 2556
ฉากชีวิตทางการเมืองของ “มิ่งขวัญ” เต็มไปด้วยการต่อรองทางการเมือง หวังใช้ภาพลักษณ์นักการตลาด เสนอตัวปั้นแบรนด์ให้พรรคการเมือง ดังนั้นการเข้ามาสู่อาณาจักรของ “พล.อ.ประวิตร-พรรคพลังประชารัฐ” โดยทิ้งพรรคโอกาสไทย “มิ่งขวัญ”คงได้รับข้อเสนอที่ดีกว่า
ในช่วงเวลาเพียง 4 ปี “มิ่งขวัญ” เปิดดีลกับพรรคการเมืองหลายต่อหลายพรรค และย้ายพรรคการเมืองมาแล้ว 3 พรรค แม้ภาพลักษณ์ภายนอกอาจดูดี แต่เนื้อในเครดิตทางการเมืองจากนี้ไปจะถูกสังคมตั้งคำถาม
โอกาสของ “มิ่งขวัญ” ในสนามการเมืองมีน้อยลงทุกที อยู่ที่ใคร พรรคใด จะเห็นโอกาส แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด