“จ้าว เหว่ย” นักบุญหรือคนบาป สามเหลี่ยมทองคำ มีมากกว่า “ยาเสพติด-กาสิโน”

“จ้าว เหว่ย” ใช้เวลา 15 ปี เนรมิตร "สามเหลี่ยมทองคำ" แหล่งท่องเที่ยวแบบครบวงจร พลิกฟื้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน กระจายรายได้ ภายใต้คำถามแหล่งที่มาของเงินทุน
“สนามบินบ่แก้ว” คือ สนามบินแห่งแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีที่ตั้งในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ“สามเหลี่ยมทองคำ” รอยต่อ ไทย-ลาว-เมียนมา ภายใต้การดูแลของ “จ้าว เหว่ย” ผู้ก่อตั้งอาณาจักรกาสิโนคิงส์โรมัน เตรียมเปิดใช้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2566 รองรับนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 600,000 รายต่อปี
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีชื่อกระฉ่อนว่าเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมเต็มรูปแบบ ทั้งการฟอกเงิน ยาเสพติด ค้ามนุษย์ พนันออนไลน์ และถิ่นพำนักแก๊ง Call Center ที่ระบาดในประเทศไทย หรือแม้แต่ตัว จ้าว เหว่ย ประธานเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ยังมีชื่อขึ้นแบล็คลิสต์
“จ้าว เหว่ย” ใช้เวลา 15 ปี เนรมิตพื้นที่ ชูการท่องเที่ยว เป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาแบบครบวงจร ทั้งพื้นที่เกษตร โลจิสติกส์ การค้า อุตสาหกรรม พลิกฟื้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน กระจายรายได้ ให้กับคนในพื้นที่ จากที่ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นตัวเมืองขนาดใหญ่
“กาสิโนคิงส์โรมัน” แลนด์มาร์คสำคัญ ให้นักแสวงโชคทั้ง ไทย ฟิลิปปินส์ จีน สิงคโปร์ เวียดนาม มาใช้บริการ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ที่อยู่อาศัย ผุดเป็นดอกเห็ด โดยพัฒนาควบคู่กับระบบขนส่ง ถนนหนทาง คิดเป็นเม็ดเงิน 1.7 หมื่นล้านหยวน หรือ 8.5 หมื่นล้านบาท ภายใต้คำถาม “แหล่งที่มาของเงิน”
หวัง เออร์ เป่า ซีอีโอ บริษัทดอกคำงิ้ว ระบุว่า ดอกงิ้วคำ เป็นบริษัทพัฒนาเมือง มีบริษัทลูกทำโครงการต่างๆ ด้วย ทั้งอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน นักธุรกิจเอกชน มาลงทุนด้วยเช่นกัน ยอมรับว่าข่าวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่งผลกระทบ (กรณี ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวหา จ้าว เหว่ย เกี่ยวโยง 5 เสือกลุ่มจีนสีเทา ที่ขยายอิทธิพลไปในกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต)
“เงินทุนที่เข้ามาไม่ได้มาทางเดียว แต่มาจากการพัฒนาเมืองก่อนหน้านี้ มาจากเอ็นเตอร์เทนท์ คอมเพล็กซ์ ต่อยอดลงทุนมาเรื่อยๆ ไม่ใช่เงินไม่มีที่มาที่ไป เป็นเงินหมุนเวียน จากการขยายส่วนต่าง ขายที่ดิน เช่าที่ดิน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไฟ น้ำ ถนน การกำจัดขยะ”
ด้าน จ้าว เหว่ย ในวัย 71 ปี มีท่าทีดีใจที่ได้พบกับปะสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน นำโดย พล.อ.อุทัย ชินวัตร อุปนายกฯ นายไพศาล พืชมงคล เลขาธิการสมาคมฯ และคณะเดินทางมาเยือน (8 ธ.ค.65) เพราะส่วนใหญ่เป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาปักหลักในประเทศไทย โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบและระบายความในใจต่อกระแสข่าวด้านลบในเมืองไทย
"สิ่งที่ได้ยินมา กับสิ่งที่ได้มาเห็น เหมือนกันหรือไม่ ตั้งแต่ผมมีชื่อขึ้นถูกสหรัฐฯ ขึ้นแบล็คลิสต์ ก็ไม่ค่อยได้ออกงาน หลายคนไม่รู้จัก เจ้า เหว่ย พูดถึงในด้านลบ ใส่ร้าย และผมก็ไม่มีโอกาสชี้แจง สำหรับเพื่อนชาวจีนโพ้นทะล เรามีมิตรภาพดีต่อกัน ตรงสำนวนจีน เราอยู่กับคนประเภทไหน เราเหมือนคนประเภทนั้น ข้อกล่าวหาของนายชูวิทย์ ทำให้ผมต้องกลับมาดื่มเหล้าหลายช็อต หลังเลิกดื่มไปนานแล้ว"
จากนั้น จ้าว เหว่ย ได้นำคณะสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน พร้อมสื่อมวลชน ชมบรรยากาศการค้าขายบนถนนคนเดิน ในย่านไชน่าทาวน์ โดยให้สิทธิ์เฉพาะชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นผู้ด้อยโอกาสเท่านั้นได้ทำมาค้าขาย พัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ท่ามกลางการอารักขาของชุดรักษาความปลอดภัย
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่ จ้าว เหว่ย ปรากฎตัวต่อหน้าสื่อโดยให้เหตุผลว่า ก่อนหน้านี้เจอแต่ข่าวด้านลบมาตลอด และคิดว่าคงแก้ไขอะไรไม่ได้ จนรู้สึกชินชา ไม่อยากอธิบาย และตนก็มั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ดีและถูกต้องและจะทำต่อไป
แต่จากได้พูดคุยกับผู้ประกอบการ ก็ได้ข้อคิดหลายอย่างว่า อาจมีวิธีแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ โดยผ่านสื่อ เพื่อเปิดมุมมอง ได้ชี้แจง ลบล้างความคิดด้านลบที่คนภายนอกมีต่อพื้นที่นี้ และเข้าใจว่าต้องใช้เวลา เราต้องรอด้วยความอดทน ค่อยๆ อธิบาย ชี้แจงไปเรื่อย สักวันคงสามารถแก้ไขปัญหาได้
จ้าว เหว่ย บอกอีกว่า การพัฒนาพื้นที่เขตพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หากมองในสิ่งที่จับต้องได้คืบหน้า 60% แต่ที่จับต้องไม่ได้ 80% เรามีเป้าหมายที่จะทำให้เป็นเมืองที่ทันสมัย ปูโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากที่เราได้เข้ามาสร้างสันติภาพพื้นที่นี้ ทั้งการจราจร กฎเกณฑ์ กฎหมาย ให้ทุกคนมีวินัย ตอนนี้สร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมดีขึ้นมาก ทุกคนเคารพกฎหมายและเป็นเป็นพื้นที่ปลอดภัย
จ้าว เหว่ย ยังปฏิเสธ ถึงกระแสข่าว นักพนันที่ไม่มีเงินจ่าย สามารถนำยาเสพติดมาใช้หนี้แทนได้ โดยยืนยันว่าที่นี่ต่อต้านยาเสพติด มีมาตรการเข้มงวดในการตรวจปัสสาวะพนักงาน แม้แต่ตนเองก็ต้องตรวจ และหากพบว่ามีปริมาณมากเกิน 10 เม็ด จากผู้เสพก็จะกลายเป็นผู้ค้า ซึ่งโทษหนัก หากเป็นแรงงานต่างด้าวก็ส่งกลับทันที
จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า แท้จริงแล้ว“จ้าว เหว่ย” คือ นักพัฒนา ที่นำพาความเจริญรุ่งเรื่อง ชุบชีวิตให้คนในพื้นที่มีรายได้หล่อเลี้ยงตัวเอง หรือเป็นเพียงนักบุญในคราบของคนบาป เช่นเดียว ขุนส่า ในอดีต