5 พรรคประชันนโยบาย “บำนาญแห่งชาติ” เห็นพ้องไทยเข้าสังคมสูงวัยต้องรีบแก้
เสวนา 15 ปี “หมอสงวน” 5 พรรคประชันนโยบายบำนาญแห่งชาติ “หมอมิ้ง” แซะนโยบายบำนาญ 3 พันบาท ยันต้องเพิ่มคุณภาพชีวิตก่อน “ปชป.” ยันต้องทำการออมภาคบังคับ แก้สังคมสูงวัยไร้เงินออม “ก้าวไกล” เปิดแผนหารายได้ชูนโยบายบำนาญแห่งชาติ “โภคิน” ชี้ต้องทำทั้งระบบ เป็นสิทธิใน รธน.
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 ที่ห้องสุวิทย์ศักดานนท์ โรงแรม ที เค พาเลซ มูลนิธิมิตรภาพบำบัด จัดงานรำลึก 15 ปี นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท หนึ่งในผู้บุกเบิก และผลักดันโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยในงานดังกล่าวมีการจัดเวทีเสวนา ในประเด็นนโยบายบำนาญแห่งชาติ จากพรรคการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น
- “หมอมิ้ง” แซะนโยบายบำนาญ 3 พันบาท ยันต้องเพิ่มคุณภาพชีวิตก่อน
เริ่มจาก นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หรือ “หมอมิ้ง” อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรียุครัฐบาลไทยรักไทย ในฐานะตัวแทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสังคมสูงวัย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาคงไม่ได้ดูแค่บำนาญอย่างเดียว เหมือนเช่นบางคนที่เสนอเรื่องบำนาญคนละ 3,000 บาท เพราะหากทำแบบนั้นคงไม่ต้องทำอย่างอื่น เอาเงินใช้จ่ายแก่คนชราทั้งหลาย แต่ความท้าทายคือจะมีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความสุข
นพ.พรหมินทร์ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญคือทำไมต้องให้สวัสดิการผู้สูงอายุ เพราะเขาดำรงชีพไม่เพียงพอใช่หรือไม่ รัฐจึงมีหน้าที่นำเงินส่วนเกินมาเจียดจ่ายให้คนที่ยังขาดอยู่ นั่นคือหน้าที่ของรัฐ แต่ต้นเหตุการให้สวัสดิการคือ คนสูงวัยรายได้ไม่เพียงพอ ไม่มีเงินออม พูดง่าย ๆ คือแก่ก่อนรวย ดังนั้นทำอย่างไรจึงทำให้รายได้เขาเพียงพอ โดยเฉพาะคนสูงวัยส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตร รัฐจึงต้องมีนโยบายสนับสนุนทางเกษตร รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อให้มีรายได้มากขึ้น มาสนับสนุนในส่วนนี้
นพ.พรหมินทร์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค พรรคเพื่อไทยจะเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น ดูแลกลุ่มเปราะบางให้ดีขึ้น รวมถึงผู้สูงอายุด้วย ทำให้พวกเขามีความสุข การเพิ่มรายได้ การเพิ่มคุณภาพชีวิต เป็นการแก้ปัญหา ลดภาระ โดยพรรคเพื่อไทยเคยคิดนโยบายเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา เรื่องหวยบำเหน็จ แทนที่จะเล่นหวยแล้วเงินหายไป เปลี่ยนเป็นนำเงินที่ซื้อไปฝากไว้ ลักษณะเดียวกับสลากออมสิน แต่จ่ายทุกงวด เก็บให้เขา จนอายุ 60 ปีจ่ายคืนมา มีเงินเหลือเก็บ เป็นต้น
- “ปชป.” ยันต้องทำการออมภาคบังคับ แก้สังคมสูงวัยไร้เงินออม
ส่วน ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. กล่าวว่า สังคมไทยกำลังเข้าสู่วัยชราซึ่งไม่เหมือนประเทศอื่นในโลก ที่เข้าสู่สังคมนี้แบบรวยแล้ว แต่ของเราเข้าสู่สังคมนี้ทั้งที่ประเทศยังจนอยู่ ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา สมัยตนเป็น รมช.คลัง เคยเสนอนโยบายเรื่องการออมเพื่อคนชรา เป็นการบังคับการออม แต่ทว่าล้มเหลว เพราะรัฐบาลชุดต่อ ๆ มาไม่ทำ เชื่อว่าถ้าระบบดังกล่าวเกิดขึ้น เราคงดีกว่านี้อีกเยอะ คงไม่มีปัญหานี้เกิดขึ้น
ดร.พิสิฐ กล่าวอีกว่า เมื่อปี 2565 พรรค ปชป.เสนอกฎหมายเข้าสภา เพื่อเปิดโอกาสให้ข้าราชการนำเงินออมในกองทุน กบข.มาซื้อบ้านได้ เพราะถือว่าบ้านเป็นทรัพย์สิน ไม่ใช่การใช้จ่ายแล้วหมดไป แต่ถูกวุฒิสภาตีตก เพราะถูกล็อบบี้มา ส่วนวิปรัฐบาลก็ไปเห็นดีเห็นงามด้วย อย่างไรก็ดีพรรค ปชป.ยังมีข้อเสนอเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่พนักงานต่าง ๆ ออมเงินไว้ ควรเปิดโอกาสให้เขานำเงินตรงนี้ไปซื้อบ้าน หรือสินทรัพย์ไว้ได้เช่นกัน เรื่องเหล่านี้ ปชป.จะทำ เพื่อให้เกิดการออมภาคบังคับขึ้นมา ขณะเดียวกันยังเสนอให้มีการขยายอายุเกษียณจาก 60 ปีเพิ่มไปอีก เพราะบางคนยังไม่มีเงินออมเลี้ยงดูตัวเอง
ดร.พิสิฐ กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ระบบประกันสุขภาพมีหลายระบบ มาตรฐานแตกต่างกัน ทำอย่างไรที่จะนำสิ่งเรานี้มาจูนอัพกัน ให้มาตรฐานใกล้เคียงหรือเหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่น ไม่เหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ระบบประกันสุขภาพของเราทุกวันนี้มุ่งแต่การรักษา ทำอย่างไรถึงจะเปิดช่องให้คนเบิกเงินไปเพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง เช่น เข้าฟิตเนส แล้วเบิกเงินได้ เป็นต้น
- “ก้าวไกล” เปิดแผนหารายได้ ชูนโยบายบำนาญแห่งชาติ
ขณะที่ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ประเด็นบำนาญแห่งชาติ ทุกพรรคมีเป้าหมายแตกต่างกัน เพราะนอกเหนือจากหลายระบบในการออมแล้ว ต้องพูดถึงสังคมผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ 1.ช่วงที่เข้าสู่ผู้สูงวัย 2.ผู้ที่ยังไม่ได้เข้าสู่ผู้สูงวัย ต้องแยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน
ดร.เดชรัต กล่าวอีกว่า กลุ่มที่กังวลมากที่สุดคือกลุ่มผู้สูงวัยแล้ว มีราว 12 ล้านคน แต่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการออม ส่วนคนที่เหลือจะให้ออมตอนนี้คงช้าไป สิ่งที่พรรคก้าวไกลคิดคือต้องเติมสวัสดิการผู้สูงอายุในทันที โดยเสนอให้อยู่ที่ 1% ของเส้นความยากจนคือ ตกเดือนละ 3 พันบาท ไม่นับผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องดูแลระยะยาว ที่อาจตกเดือนละ 9 พันบาท
ดร.เดชรัต กล่าวอีกว่า ส่วนกลุ่มที่ยังไม่เป็นผู้สูงอายุ ต้องเติมเรื่องการออม เพราะตัวเลขจากการศึกษาพบว่า รายได้ผู้สูงอายุควรมีคือราว 5-6 พันบาทต่อเดือน เมื่อมีนโยบายให้เดือนละ 3 พันบาทแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือหารายได้มาช่วยในส่วนที่ขาดไปอีกราว 3 พันบาท โดยจะมีการทำการออมภาคบังคับ ทั้งหมดคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 6.5 แสนล้านบาท ถามว่าเอาเงินจากไหน พรรคก้าวไกลศึกษาแล้วจะดำเนินการปรับลดงบประมาณไม่จำเป็น เช่น ลดขนาดกองทัพ ธุรกิจกองทัพ โครงการไม่จำเป็นต่าง ๆ ราว 5% จาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ การเก็บภาษีอีก 10% และเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เช่น เก็บภาษีความมั่งคั่ง ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า รวมทั้งหมดจะได้ราว 6.5 แสนล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้
- “โภคิน” ชี้ต้องทำทั้งระบบ เป็นสิทธิใน รธน.ไม่ใช่แค่รัฐสวัสดิการ
นายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ จากพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่สังคมไทยต้องการคือเรื่องภราดรภาพแก่ผู้สูงอายุ ประเด็นนี้ถูกระบุในรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นสิทธิที่ผู้สูงอายุควรได้ ไม่ใช่รัฐสวัสดิการ แต่ประเด็นสำคัญคือพูดแค่เรื่องผู้สูงวัยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูทั้งระบบ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสูงวัย ถ้าไม่ปรับปรุงทั้งวงจร จะเกิดผลประหลาด และไม่ได้อย่างที่คาดหวัง
นายโภคิน กล่าวอีกว่า พรรค ทสท.ศึกษาแล้ว จะนำเสนอนโยบายแบบดูทั้งวงจรตั้งแต่แรกเกิด จนถึงสูงวัย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา อาจปรับลดเพดานลงเหลือแค่ 18 ปีจบปริญญาตรี เพื่อเพิ่มคนเข้าสู่กำลังการผลิต นอกจากนี้การเพิ่มรายได้ต้องคำนวณว่า รายได้เท่าไหร่ถึงพอต่อการเลี้ยงชีพ ไม่ใช่ประกาศตัวเลขออกมา เพราะอีกหลายปีข้างหน้าอาจไม่เพียงพอ นอกจากนี้เสนอให้มีการพักใช้กฎหมายเกี่ยวกับการอนุมัติ หรืออนุญาตเรื่องต่าง ๆ แขวนไว้ก่อน ให้คนทำมาหากิน ส่วน SME ให้มีการรวมกลุ่มกัน เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยง่าย
นายโภคิน กล่าวด้วยว่า พรรค ทสท.พูดถึงคนแก่ที่ไม่มีเงินออม แต่ประเด็นตอนนี้คือต้องดูแลคนที่รายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพก่อน เพราะถือว่าเป็นสิทธิในรัฐธรรมนูญ ส่วนผู้สูงวัยที่รายได้เพียงพออยู่แล้วให้ตัดไป และต้องมีการปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ต่าง ๆ การจัดเก็บภาษีเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเรื่องเหล่านี้ สรุปคือ เรื่องบำนาญทำได้ 100% แต่ต้องทำให้ครบวงจร ตั้งแต่ในครรภ์ถึงผู้สูงวัย เพราะทุกมีกำลังการผลิต ทำให้เสมอภาคทุกคน ประเทศนี้ต้องปฏิวัติระบบงบประมาณ ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปไม่ได้ เพราะปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ประชาชน จังหวัดใครจังหวัดมัน ใครมีอิทธิพลก็ไปลงจังหวัดตัว แทนที่จะต้องลงทั้งประเทศ
- ภท.รับยังไม่มีนโยบายบำนาญ แต่หนุนสวัสดิการถ้วนหน้า
ด้าน พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยยังไม่มีนโยบายโดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้สูงอายุ หรือบำนาญ แต่พรรคสนับสนุนระบบบำนาญแห่งชาติ สนับสนุนการสร้างหลักประกันรายได้ถ้วนหน้า เพื่อประชาชน ทำให้คนเท่าเทียม ที่ผ่านมาได้เสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเห็นด้วยในประเด็นต้องดูแลให้ครบวงจรตั้งแต่ในครรภ์ถึงสูงวัย และพรรคภูมิใจไทยเล็งเห็นความสำคัญเรื่องเด็กแรกเกิด ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เสนอให้รัฐบาลจัดสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า พร้อมกับตั้งคณะทำงานสนับสนุน ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาตลอด
พญ.เพชรดาว กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการจัดทำระบบบำนาญ เห็นด้วยว่าต้องเป็นสวัสดิการถ้วนหน้า ไม่ใช่การสงเคราะห์อย่างเช่นปัจจุบัน ได้เดือนละ 600 บาท เฉลี่ยวันละ 20 บาท เป็นอย่างนี้มานาน ยังไงก็ไม่พอ ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยจะเล็งเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ควรบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะหากทำนโยบายเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่หากบรรจุในรัฐธรรมนูญ ทุกพรรคที่มาเป็นรัฐบาลจะต้องดำเนินการ