หวั่นค่าโง่!"ทวี" คาใจสร้างสภาช้า2ปีค่าปรับ0-ซ้ำเจอ" ซิโน-ไทยฯ"ฟ้องกลับ
"ทวี" หวั่นค่าโง่! ตั้งคำถามตัวโตๆ โครงการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ ส่งมอบ ล่าช้า2ปี แต่กลับ "ไม่มีค่าปรับ" ซ้ำเจอ" ซิโน-ไทยฯ" ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว Tawee Sodsong - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ตั้งคำถามกรณีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่เกิดความล่าช้าในการส่งมอบสถานที่ว่า
การก่อสร้างรัฐสภาล่าช้ามากกว่า 2 ปี ผู้รับเหมาต้องเสียเงินค่าปรับตามสัญญามากกว่า 9.8 พันล้านบาท ทำไมค่าปรับจึงเป็น “0” (หายสิ้นไป) ?
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด (มหาชน) ให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ งานสาธารณูปโภค งานสาธารณูปการ งานระบบประกอบอาคารและภายนอกอาคาร งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และอุปกรณ์ครุภัณฑ์ ในพื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ตามสัญญาเลขที่ 116/2556 ลงวันที่ 30 เมษายน 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มูลค่างานตามสัญญา จำนวน 12,280 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญาและที่ขยายระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2556 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 2,764 วัน
เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งตามสัญญาจ้างก่อสร้างฯ
“ข้อ 20 ค่าปรับและค่าเสียหาย” กำหนดให้ ผู้รับจ้างจะต้องชำระค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10 (ศูนย์จุดหนึ่งศูนย์) ของราคางานจ้างก่อสร้างทั้งหมดตามสัญญา หรือวันละ 12.28 ล้านบาท และต้องชำระค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้ควบคุมงานและที่ปรึกษาบริหารโครงการ วันละ 332,140 บาท รวมแล้วประมาณวันละ 12.61 ล้านบาทเศษ
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ผู้รับจ้างทำงานไม่เสร็จก่อสร้างล่าช้า ซึ่งการทำสัญญาและหลักประกันนั้น ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
ใน มาตรา 97 สัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือที่ได้ลงนามแล้วจะแก้ไขไม่ได้ และกรณีนี้ไม่น่าจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 97 กับ มาตรา 102 การงดหรือลดเบี้ยปรับผู้มีอำนาจพิจารณาได้ตามจำนวนวันที่มีเหตุเกิดขึ้นจริง เฉพาะในกรณีที่กฎหมายกำหนด
ปรากฎว่าเมื่อเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ผู้รับจ้างได้มีหนังสือแจ้งขอส่งมอบงานทั้งโครงการตามสัญญางวดสุดท้าย แต่ผู้ควบคุมงาน ที่ปรึกษาบริหารโครงการ และคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจงานแล้วพบว่า ยังมีงานก่อสร้างที่ผู้รับจ้างต้องดำเนินการแก้ไขเนื่องจากไม่ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา จึงไม่รับมอบงานและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรผู้ว่าจ้างได้มีคำสั่งให้ผู้รับจ้างดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
ปัจจุบันอยู่ระหว่างผู้รับจ้างดำเนินการงานก่อสร้างตามรูปแบบและรายการให้แล้วเสร็จทั้งหมด รวมทั้งแก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่อง (Defects) ซึ่งงานตามสัญญายังไม่แล้วเสร็จ ถึงปัจจุบัน (18 มกราคม 2566) ยังส่งมอบงานไม่ได้ มีความล่าช้าเป็นเวลาประมาณ 778 วัน หรือมากกว่า 2 ปี บริษัทผู้รับจ้างต้องถูกปรับรวมเป็นเงินมากกว่าหมื่นล้านบาท คือประมาณมากกว่า 9.8 พันล้านบาท
ข้ออ้างบริษัทผู้รับจ้างสร้างสภารัฐสภาที่ไม่จ่ายค่าปรับ คือได้มีหนังสือขอรับสิทธิตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 693 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2564 และที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 654 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2565 และ ที่ กค (กวจ) 044.2/ว 1459 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 ตามลำดับ
ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ให้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีแนวทางให้กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด 19 ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (4) อนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ข้อ 162 กำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ 0 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือ
โดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เห็นดีเห็นงามไปด้วยนั้น และได้ดำเนินการแก้ไขสัญญาจ้างที่ได้ลงนามเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งจากเดิมสัญญามีการกำหนดค่าปรับตามสัญญาค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.10 นั้นได้แก้ไขเป็นสัญญาไม่มีค่าปรับเลย โดยใช้ถ้อยคำว่า “กำหนดค่าปรับเป็นร้อยละ 0”(ศูนย์บาท)
ผมไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่แก้ไขเป็น สัญญา “กำหนดค่าปรับเป็นร้อยละ 0” ไม่น่าจะถูกต้องเนื่องจากความในข้อ 162 ของระเบียบกระทรวงการคลังฯ เป็นบทบัญญัติที่อยู่ในหมวด “การทำสัญญาและหลักประกัน” กล่าวคือ เป็นข้อกำหนดในขั้นตอนการทำสัญญาที่หน่วยงานของรัฐจะต้องกำหนดค่าปรับอันถือเป็นหลักประกันไว้ในสัญญาตามอัตราที่ระเบียบกำหนด ไม่ใช่ในขั้นตอนการ “แก้ไขสัญญา” ส่วนการแก้ไขสัญญา เป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 97 ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับศักดิ์พระราชบัญญัติ และเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจ
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐในการยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงหรือระเบียบที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ เท่านั้น(พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างฯ มาตรา 29(4) )
ดังนั้น คณะกรรมการวินิจฉัยฯ จึงไม่อาจยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ที่ให้อำนาจแก่ตนเองได้ การที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปแก้ไขสัญญาฯ จึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากขอบอำนาจที่กฎหมายกำหนดและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 97 และมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
เรื่องตลกร้ายเกิดขึ้น บริษัท ซิโน-ไทยฯ ผู้รับจ้าง ได้ยื่นฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อศาลปกครองกลาง กรณีส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างล่าช้าและการขนย้ายดินในระยะต้นๆของการก่อสร้างในคดีหมายเลขดำที่ 961/2563 เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 1,596,592,305.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้แก่ผู้ฟ้องคดีเสร็จสิ้นปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง แต่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรช่างใจดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างด้วยการงด หรือยกเว้นค่าปรับให้ ถึงปัจจุบันมากกว่า 9.8 พันล้านบาท กลายเป็นว่ารัฐเสียสิทธิในการเรียกเงินค่าปรับส่งมอบงานล่าช้า ถือว่าเป็นเงินภาษีของประชาชน เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติแล้วหรือ
มิหนำซ้ำรัฐสภายังถูกบริษัท ซิโน-ไทยฯ ผู้รับจ้าง เรียกร้องค่าเสียหายอีกมากกว่า 1.5 พันล้านบาท ถ้าแพ้คดีต้องหนีไม่พ้นเอาเงินภาษีของประชาชนจ่ายให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างสร้างรัฐสภาทำไมประชนคนไทยจึงช่างโชคร้ายเหลือเกิน ทั้งที่ บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารรัฐสภาล่าช้ามีผลกระทบให้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยตรงเกือบหมื่นล้านบาท การไม่ปกป้องสิทธิประโยชน์ของรัฐดังกล่าวเกรงว่าจะเกิดการประวัติศาสตร์ซ้ำรอยค่าโง่ ที่รัฐต้องสูญเสียประโยชน์อีกครั้ง