มิตรไม่แท้ ศัตรูไม่ถาวร ผนึกฟูลพาวเวอร์ ดัน “ป.ป้อม”
การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งของพลังประชารัฐ ภายใต้ 2 เป้าหมายใหญ่ที่คนในพรรคเริ่มประสานเสียงพูดตรงกัน 1.ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และ2.ยังฝันไกล ย้ำคิดย้ำทำ พูดกรอกหูกันซ้ำๆ ว่าจะดัน ป.ป้อม เป็นนายกฯ คนที่ 30 ให้ได้
บรรยากาศภายในพรรคพลังประชารัฐนาทีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ในช่วงใกล้ครบเทอมรัฐบาลก่อนเข้าโหมดเลือกตั้งเต็มตัว
การรวบรวมขุนพลเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบรรดาขุนพลลุงตู่ สละเรือไปต่อกับพรรครวมไทยสร้างชาติ
สถานการณ์ในพลังประชารัฐกลับไม่ได้ยุบอย่างที่หลายคนคาดการณ์ แต่กลับมีชีวิตชีวาขึ้นทันตาเห็น เมื่อบรรดาแกนนำคนสำคัญ และบ้านใหญ่ในหลายภูมิภาคยังปักหลังอยู่กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาทิ กลุ่มปากน้ำ กลุ่มเพชรบูรณ์ กลุ่มโคราช กลุ่มกำแพงเพชร กลุ่มราชบุรี กลุ่มสระแก้ว และยังได้ขุนพลที่มีความเข้มแข็งในพื้นที่หลายจังหวัดมาเสริมทัพ เมื่อบวกกับปัจจัย ทรัพยากรความพร้อมต่างๆ ก็ทำให้ใครก็ประมาทพรรค ป.ป้อม ไม่ได้
นอกจากนั้น ประโยคที่ว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ก็ยังใช้ได้ดีกับพลังประชารัฐ เมื่ออดีตแกนนำพรรคหลายคนที่กระจัดกระจายกันไป ก็ตั้งท่าจะกลับมาอยู่กับพรรคอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ซัดกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายก็หมดท่ากลับมาตายรังกันเป็นแถว
ไล่มาตั้งแต่ ธรรมนัส พรหมเผ่า สมัยเป็นเลขาฯ พลังประชารัฐ ก็เปิดแนวรบกับแกนนำในพรรคกันจ้าละหวั่น โดยเฉพาะกับกลุ่มสามมิตร และสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำก๊วนมะขามหวาน
กระทั่งฟางเส้นสุดท้าย คือหลังจบศึกซักฟอก ที่แผนโหวตคว่ำ ป.ประยุทธ์ ล้มเหลว เลยถูกโต้กลับ กดดันให้ต้องหาบ้านใหม่ คือพรรคเศรษฐกิจไทย โดยหาเหตุให้พลังประชารัฐ ขับออกจากพรรค เปิดทางขน ส.ส.อีกประมาณ 20 คนไปด้วย
สุดท้ายเมื่อกติกาเลือกตั้งเปลี่ยนเป็นบัตร 2 ใบ หาร100 ก็ทำเอาพรรคเล็กและพรรคเกิดใหม่ทั้งหลายต่างต้องหนีตาย ไม่เว้นแม้แต่พรรคเศรษฐกิจไทย ของธรรมนัส ที่มีกระแสข่าวว่าเตรียมปล่อยทิ้ง ก่อนจะขนลูกทีมกลับ ซึ่งต้องจับตาดีเดย์ อาจไม่เกิน 7 ก.พ.นี้
รวมถึง บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ออกไปขับเคลื่อนพรรครวมแผ่นดิน ก็ไปต่อไม่ไหว ต้องกลับมาอีกคน
หรือแม้แต่ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาพรรคสร้างอนาคตไทย ที่เคยถูก ป.ป้อม และเครือข่ายไล่พ้นพลังประชารัฐไป สุดท้ายก็เป็นฝ่ายร้องขอกลับมาอีกครั้ง หลังพยายามเข็นครกขึ้นภูเขา ทั้งเดินหน้าทำพรรคเอง จนเริ่มไปไม่ไหวลูกพรรคกระโดดหนีทีละคนสองคน สถานการณ์เลยกดดันให้ต้องเปิดโต๊ะเจรจาควบรวมกับพรรคไทยสร้างไทย แต่ก็คุยกันไม่ลงตัว สุดท้ายก็ปิดดีลไม่ได้ อะไรๆ ก็ติดขัดไปหมด เพราะต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขที่สูงลิบ
การกลับมาของบรรดาคนเก่าพลังประชารัฐ ในบริบทที่การบริหารจัดการภายในพรรค ภายใต้การนำของ ป.ป้อม ที่ฟูลพาวเวอร์ตัวจริงเสียงจริงเพียงหนึ่งเดียว วางตัวจัดทัพไว้แบบฟูลทีม ทั้งมือเศรษฐกิจ และนักเลือกตั้ง สร้างจุดแข็ง กลบจุดอ่อนเรื่องกระแสพรรคที่สู้คนอื่นลำบาก และตรงนี้จะเป็นอีกจุดขาย สร้างโมเมนตั้ม ทำให้คนที่กำลังตัดสินใจจะโยกย้ายเห็นว่า พรรคนี้พร้อมอ้าแขนรับทุกคน แม้อดีตจะเคยบาดหมางกันแค่ไหนก็ตาม
ดังนั้น การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งของพลังประชารัฐ ภายใต้ 2 เป้าหมายใหญ่ที่คนในพรรคเริ่มประสานเสียงพูดตรงกัน 1.ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน และ2.ยังฝันไกล ย้ำคิดย้ำทำ พูดกรอกหูกันซ้ำๆ ว่าจะดัน ป.ป้อม เป็นนายกฯ คนที่ 30 ให้ได้