กลยุทธ์บ้านใหญ่ "ปิตุเตชะ" เดิมพัน "ระยองคะนองศึก"
ในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับสนามเลือกตั้งระยองซึ่งเป็นขุมกำลังของ“บ้านใหญ่ปิตุเตชะ” มาตั้งแต่รุ่นพ่อ รอบนี้อาจต้องเจอศึกหนักรอบทิศ
ศึกเลือกตั้ง 2566 สนามระยอง ที่รอบนี้จะมี ส.ส.เพิ่มจาก 4 คน เป็น 5 คน ยังถือเป็นเป็นขุมกำลังสำคัญของบ้านใหญ่ “ปิตุเตชะ” ตระกูลการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งมากสุด
ไล่มาตั้งแต่ยุค “สาคร ปิตุเตชะ”อดีตกำนันตำบลบางบุตร ผู้เป็นพ่อที่โลดแล่นสนามท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน
ทว่า เมื่อมาถึงการเมืองสนามใหญ่ ดูเหมือนว่าลูกชายทั้ง 3 คนของ “กำนันสาคร” จะมีเส้นทางการเมืองที่แตกต่างกัน
“ช้าง” ปิยะ ปิตุเตชะ เริ่มเป็น ส.ส.ระยอง สมัยแรกในปี 2538 ในนามพรรคชาติพัฒนา ในปี 2544 “ปิยะ” ย้ายไปสังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ระยอง เขต 3
ขณะที่ “ตี๋” สาธิต ปิตุเตชะ น้องชายเป็น ส.ส.เขต 1 เป็นสมัยแรก ในนามพรรคประชาธิปัตย์
ปี 2548 “ปิยะ” เบนเข็มไปที่สนามท้องถิ่น ในตำแหน่งนายกอบจ.ระยอง ส่ง “ธารา ปิตุเตชะ” น้องชายอีกคนสวมเสื้อไทยรักไทยเป็น ส.ส.สมัยแรกที่เขต 3 ซึ่งเป็นเขตเดิมของตนเอง
ส่วน “สาธิต” ยังคงรักษาแชมป์เป็น ส.ส.เขต 1 จ.ระยอง ในนาม ปชป.
ต่อมาในศึกเลือกตั้งปี 50 และ 54 ทั้ง “สาธิต” และ “ธารา” ผนึกสู้ศึกเมืองระยอง ในสังกัด ปชป.ปักธงได้ยกจังหวัด จนกระทั่งการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 “สาธิต”นำทีมระยองปักธงได้ 3 เขต จากทั้งหมด 4 เขต คือ เขต 1 สาธิต เขต 2 บัญญัติ เจตนจันทร์ และเขต 3 ธารา
ขณะที่เขต 4 “วิชัย ล้ำสุทธิ” เจ้าของพื้นที่เดิมถูกขยับขึ้นบัญชีรายชื่อ ปชป. แต่ไม่ได้รับเลือก ขณะเดียว กัน ปชป.ส่ง “รองหมู” กิตติ เกียรติ์มนตรี อดีตรองนายก อบจ.ระยอง ลงชิงเขตดังกล่าวได้คะแนนมาเป็นลำดับ 4 ขณะที่แชมป์ตกเป็นของ “สมพงษ์ โสภณ” จากพลังประชารัฐ
ศึกรอบนี้ ต้องจับตาการเดินเกมของ “บ้านใหญ่ปิตุเตชะ” ท่ามกลางข่าวคราวการย้ายพรรคของ 3 พี่น้อง ที่ปรากฏออกมาก่อนหน้า ในส่วนของ “นายกช้าง” ก่อนหน้ามีข่าวอาจแยกทางกับน้องชายหันไปร่วมกับทีมบ้านใหญ่ชลบุรี ที่มีข่าวคราวเตรียมย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย
ครั้งนั้น “หมอตี๋” ยอมรับในทำนองว่า “ในอดีตเคยมีแนวทางการทำงานการเมืองต่างกัน หากพี่ชายจะเลือกไปอยู่พรรคใด ก็มิอาจก้าวล่วงได้”
เช่นเดียวกับ "หมอตี๋ สาธิต" ก่อนหน้ามีข่าวถูกจีบเข้าค่าย “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผ่านสายสัมพันธ์อันดีในฐานะ รมว.และรมช.สาธารณสุข ตอกย้ำด้วยภาพร่วมรับประทานอาหารเมื่อเดือน พ.ย.2565
ก่อนที่ต่อมาตัว “หมอตี๋” จะออกมาปฏิเสธข่าวที่เกิดขึ้น ยืนยันเสียงแข็งเรื่องถูก ภท.ทาบทามว่า “ไม่มีครับ การเลือกตั้งครั้งหน้าผมก็จะอยู่พรรคประชาธิปัตย์”
ทว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา “หมอตี๋” กลับพูดถึงทิศทางการเมืองในลักษณะทีเล่นทีจริง แต่แฝงไปด้วยนัยสำคัญที่ต้องจับตา
“ในวันที่ 20 ก.พ.จะประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ว่าจะอยู่พรรคใด แต่วันนี้ยังอยู่ประชาธิปัตย์” หมอตี๋ระบุ
การผูกขาดสนามระยองมาอย่างยาวนาน ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลื่อนเกมของ “3 พี่น้องปิตุเตชะ” ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้แฝงไปด้วยนัยสำคัญทางการเมือง
ขณะเดียวกัน ที่ประมาทไม่ได้ คือคู่แข่งจากค่ายการเมืองที่ทยอยเปิดตัวไปก่อนหน้า ทั้ง “พรรคเพื่อไทย” ล่าสุด เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย เขต 1 พเนตร วงษ์ไพศาล เขต 2 ภีมเดช อมรสุคนธ์ เขต 3 ชัยณรงค์ สันทัสนะโชค เขต 4 วิเชียร สุขเกิด และเขต 5 วิชัย ล้ำสุทธิ อดีตคนคุ้นเคยค่าย ปชป.ซึ่งรอบที่แล้วเจอแผนดัดหลังด้วยข้อกล่าวหาปันใจให้พรรคอื่น ถูกขยับขึ้นบัญชีรายชื่อ
ขณะที่ “ไทยสร้างไทย” ส่ง “ศรศักดิ์ รากแก้ว” แนวร่วมเสื้อแดงระยอง อดีตผู้สมัครเพื่อไทย ลงชิงเขต 1 สางแค้น “หมอตี๋” คู่ปรับเก่า รวมถึงเอาคืนพรรคเพื่อไทยที่มีปมค้างคาใจ กรณีไม่ส่งลงสมัครจนต้องย้ายพรรค
ขณะที่คู่แข่งที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน คือ “พรรคก้าวไกล” ก่อนหน้าเปิดตัว “5 ว่าที่ผู้สมัคร” เขต 1 กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล เขต 2 กฤช ศิลปชัย เขต 3 นครชัย ขุนณรงค์ เขต 4 ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ และเขต 5 สว่างจิตต์ เลาหะโรจนพันธ์
การเลือกตั้งปี 2562 พรรคอนาคตใหม่เวลานั้น ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ทุกเขต โดยเฉพาะในส่วนของ ภาณุพงษ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง” แกนนำม็อบราษฎร ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นแนวหลัง สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาจนถึงพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ “ไมค์ ระยอง” ในนามกลุ่มประชาธิปไตยระยอง ออกมาปั่นกระแสต้านพรรคเพื่อไทยกรณีส่ง “วิชัย” ที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคไทยภักดี ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่า เป็นการส่งสัญญาณปลุกพลัง “โหวตสั่งสอน” ด้วยการเทคะแนนไปที่พรรคก้าวไกลที่เขาสนับสนุนไปในคราวเดียวกัน
อย่างที่รู้กัน ในทางการเมืองเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ในอดีตก็มีให้เห็นมานักต่อนัก เช่นเดียวกับสนามเลือกตั้งระยองซึ่งเป็นขุมกำลังของของ “บ้านใหญ่ปิตุเตชะ” มาตั้งแต่รุ่นพ่อ รอบนี้อาจต้องเจอศึกหนักจากสารพัดพรรคการเมืองที่จ้องเจาะไข่แดงภาคตะวันออกแบบรอบทิศ