ไร้ผลกระทบ ‘วิกฤตอดานิ’ กองทุนชี้ ‘คนไทย’ ลงทุนน้อย

ไร้ผลกระทบ ‘วิกฤตอดานิ’  กองทุนชี้ ‘คนไทย’ ลงทุนน้อย

วิกฤติความเชื่อมั่น “อดานิ กรุ๊ป” กำลังเขย่าเศรษฐกิจอินเดียทั้งประเทศ หลัง ‘ฮันเดนเบิร์ก รีเสิร์ช’ บริษัทวิจัยและลงทุน ปล่อยรายงานสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของ อดานิ กรุ๊ป จนทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มอดานิ ร่วงอย่างหนัก สั่นสะเทือนตลาดหุ้นอินเดีย

ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้การขึ้น หรือลงของมูลค่าหุ้นบริษัทในเครืออดานิ กรุ๊ป มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นอินเดียอย่างมาก ซึ่งหากมูลค่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวยังปรับตัวลงต่อ อาจกระทบเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบริษัทแอปเปิล อิงก์

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)อินเดีย ส่วนหนึ่งลงมติให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากรายงานของฮินเดนเบิร์ก รีเสิร์ช  อีกทั้ง ประเด็นดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของอดานิและโมดีอีกด้วย

ไร้ผลกระทบ ‘วิกฤตอดานิ’  กองทุนชี้ ‘คนไทย’ ลงทุนน้อย

สำหรับ “กองทุนไทย”  ที่มีการลงทุน “หุ้นอินเดีย” จะเป็นอย่างไรนั้น ทางผู้จัดการกองทุนได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด  'ชญานี จึงมานนท์' นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) มองประเด็นวิกฤติความเชื่อมั่น “อดานิ” ดังกล่าวกระทบในเชิงเซ็นทริเม้นต์การลงทุนตลาดหุ้นอินเเดีย อาจจะกระทบเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศน่าจะกลับไปฝั่งจีน และประเด็นนี้สุดท้ายแล้วนักลงทุนที่อยู่นอกประเทศ ก็ยังคงต้องรอพิสูจน์ข้อเท็จจริง

ส่วนในแง่ของผลกระทบต่อ 'กองทุนไทย' ที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย คาดว่าไม่กระทบ เพราะว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่มาก  และขนาดกองทุนค่อนข้างเล็ก  โดยกองทุนหุ้นอินเดีย (รวมทุนชนิดหน่วยลงทุน เช่น สะสม มีปันผล เพื่อการออมระยะยาว (SSF)) มีมูลค่าทรัพย์สินรวม (AUM)  ณ  เดือน ม.ค. 2566 เพียง 7,300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย (ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund)  ที่มีAUM 3.8 ล้านล้านบาท และพบว่า AUM กองทุนหุ้นอินเดีย ย้อนหลัง2 ปี  ปรับลดลง จาก 8,600 ล้านบาท ในปี 2564  เหลือ 7,500 ล้านบาท ในปี2565 และเดือนม.ค.2566 อยู่ที่ 7,300 ล้านบาท 

แม้ว่ากองทุนหุ้นอินเดียจะมีจำนวน 29 กองทุน แต่ส่วนใหญ่เป็นขนาดกองทุนไม่ถึงหลักพันล้านบาท ซึ่งมีเพียง 3 กองทุนใหญ่ที่มูลค่ากองทุนเกินพันล้านบาท รวมกันเพียง 3,560 ล้านบาท สะท้อนว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีการลงทุนหุ้นอินเดียมากนัก      

โดยบลจ.บัวหลวง  มี AUM 2 กองทุนหุ้นอินเดีย รวมกันมากที่สุด  2,550 ล้านบาท ได้แก่  กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INDIAMRMF)   1,400 ล้านบาท และกองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ (B- BHARATA)  1,150  ล้านบาท  อีก 1 กองทุนเป็นของบลจ.กสิกรไทย  ได้แก่ กองทุนเปิดเคอินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA)  1,100 ล้านบาท 

ขณะที่ผลตอบแทนกองทุนโดยเฉลี่ยของกลุ่มหุ้นอินเดีย  ณ  เดือน ม.ค. 2566 ยังคงมีผลตอบแทน -2.27% เป็นกลุ่มการลงทุนเดียวที่ติดลบในช่วงเดือนแรกของปีนี้ สาเหตุจากเซ็นทริเมนต์เชิงลบต่อการลงทุนจากกระแสข่าวดังกล่าว 

เมื่อเทียบกับผลตอบแทน  ณ  สิ้นปี 2565 มีผลตอบแทน -12.85% ซึ่งปีก่อนผลตอบแทนการลงทุนติดลบทั่วโลก จาก ณ สิ้นปี 2564 ผลตอบแทนยังเป็นบวก 26.20% จากปัจจัยสนับสนุนอินเดียจะเป็นเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดภายในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปี2565และปี2566

ผู้จัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง  ระบุว่า บลจ.บัวหลวง มี 3 กองทุน ที่ลงทุนหุ้นอินเดีย ได้แก่ B-BHARATA, B-INDIAMRMF และ B-ASIA  ไม่มีการลงทุนใน Adani Group และหุ้นที่เกี่ยวข้อง

อีกทั้งผู้จัดการกองทุนทั้ง 3 กองทุน มองว่าไม่กระทบกับหุ้นของพอร์ตการลงทุน  ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุน B-BHARATA มองว่า ข่าวนี้อาจจะกระทบกับเซ็นทริเม้นต์ โดยรวมของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่จะเห็นได้ว่า ช่วงท้ายๆ สัปดาห์ที่แล้วตลาดเริ่มกลับมามีเสถียรภาพแล้ว 

ด้าน 'จิตตะ เวลธ์' มองตลาดอินดียยังน่าสนใจ เชื่อปัญหากลุ่มอดานี ไม่ลุกลาม และกระทบการลงทุนจำกัด เหตุกองทุนมีการกระจายความเสี่ยงการลงทุนหลากหลาย

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์  กล่าวว่า  จิตตะเวลธ์มองว่าโอกาสการลงทุนในอินเดียยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนไทย เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีประชากรมากที่สุดในโลกตามประมาณการขององค์การสหประชาชาติและได้อานิสงส์อย่างมีนัยสำคัญจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก และ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัว 6.1% ในปี 2566

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นผลมาจากการที่กลุ่มบริษัทอดานีซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของอินเดียถูกกล่าวหาว่ามีความไม่โปร่งใสตัวเลขงบการเงินและสร้างราคาหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นราคาหุ้นในกลุ่มบริษัทอดานีปรับลดลงไประดับ 30-60% สะท้อนความกังวลของตลาดต่อหุ้นของกลุ่มบริษัทอดานี


 ทั้งนี้กลุ่มอดานีจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อินเดียถึง 7 แห่ง มีรายได้รวม 2.22 ล้านล้านรูปี หรือ ประมาณ​ 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งแต่การออกรายงานของ Hindenburg Research มูลค่าตลาดรวมของกลุ่มบริษัทอดานีปรับลดลงมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ   


อย่างไรก็ตามในขณะนี้กลุ่มบริษัทอดานีพยายามลบข้อคำกล่าวหาในความไม่โปร่งใสของงบการเงินด้วยการเตรียมว่าจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีระดับ Big 4 เข้ามาตรวจบัญชีทั้งหมดของกลุ่มบริษัทเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน

จากความพยายามของกลุ่มบริษัทอดานีที่พยายามตอบโต้ข้อกล่าวหาของ Hindenburg Research ด้วยการว่าจ้างกลุ่มผู้ตรวจสอบบัญชีระดับ Big 4 นั้นหมายความว่าบริษัทต้องมั่นใจว่างบการเงินและบัญชีของบริษัทมีความโปร่งใส ซึ่งเรามองว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่ขยายวงกว้างกลายเป็นวิกฤต และ หากมีปัญหาจริง รัฐบาลอินเดียอาจจะต้องเข้ามาเพื่อพยุงไม่ให้บริษัทล้มป้องกันการเกิดปัญหาลุกลามในวงกว้าง 
สำหรับกองทุนที่เข้าไปลงทุนในอินเดียหลายกองมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มบริษัทอดานีแตกต่างกันไป ซึ่งกองทุนส่วนบุคคลของบลจ.จิตตะเวลธ์ก็มีธีมการลงทุนที่เข้าไปลงทุนในอินเดียเช่นกัน โดยธีมตลาดหุ้นอินเดียของจิตตะเวลธ์มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มบริษัทอดานีทั้งหมด 2.79% ซึ่งตัวธีมกระจายการลงทุนไปในหุ้นทั้งหมด 125 ตัว ดังนั้นการปรับลดลงแรงของกลุ่มบริษัทอดานีจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธีมตลาดหุ้นอินเดียอย่างมีนัยสำคัญ 

อย่างไรก็ตามหากดูผลตอบแทน YTD ของหุ้นในกลุ่มบริษัทอดานีปรับลดลงไปกว่า 30-60% แต่ธีมตลาดหุ้นอินเดียปรับลดลงไปเพียง 4.31% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการกระจายการลงทุนในหุ้นที่หลากหลาย

“การลงทุนในประเทศกำลังพัฒนามีโอกาสทำกำไรจากการเติบโตในระดับสูง แต่ก็มักจะเผชิญกับปัญหาความไม่โปร่งใสในด้านต่างๆ ซึ่งวิธีการลงทุนที่ดีในประเทศกำลังพัฒนาคือการกระจายความเสี่ยง เมื่อมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม การปรับร่วงแรงของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะไม่กระทบต่อการลงทุนโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ”