แผนรุก "เด็ดปีก-เขย่าเสาเข็ม" ถล่มภูมิใจไทย สลายมนต์"เนวิน"
ศึกที่ตีขนาบอรอบทิศไม่ต่างอะไรกับแผนไล่ต้อนให้“ขุนพลสีน้ำเงิน” ต้องจนมุม "เสาเข็ม" ที่ “อนุทิน” เคยประกาศ ยามนี้ถูกเขย่าให้สั่นคลอนจาก“มิตรเทียม-ศัตรูแท้” รอบทิศ
กลเกม “ค่ายสีน้ำเงิน” เดิมทีดูเหมือนจะเป็นต่อจาก “พลังดูด” สานฝันปฏิญญาบุรีรัมย์ ของ“นายใหญ่” เมืองปราสาทหินในการผงาด “พรรค100+” เพื่อปั้น “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ
ทว่าสถานการณ์ส่อพลิกผัน จากสารพัดเกมเตะสกัด จากบรรดา “มิตรเทียม-ศัตรูแท้”
ล่าสุด ประเด็นช็อคภูมิใจไทย กรณีที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่ “ชวน หลีกภัย”ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องให้วินิจฉัย ความเป็นรัฐมนตรีของ “รัฐมนตรีโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 จากกรณีการถือหุ้น “หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น” พร้อมสั่งให้ “ศักดิ์สยาม” หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ต้นตอเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อ 19 ก.ค.2565 เมื่อ “ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงการโอนหุ้นของ “รมต.โอ๋” ที่พบความไม่ชอบมาพากล ทั้งการโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญ ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน ซึ่งพบว่าเป็นการโอนหุ้นในลักษณะของนอมินี
เนื่องจากไม่พบหลักฐานว่ามีการชำระเงินค่าหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายต่ำกว่า สูงกว่าราคาทุนที่ 120 ล้านบาท
การอภิปรายวันนั้น “ปกรณ์วุฒิ” ยังชี้ให้สังคมเห็นถึงความเชื่อมโยง กรณีมีการนำ หจก.บุรีเจริญ มาเป็นคู่สัญญากับรัฐ รับงานในกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองเป็นรัฐมนตรี โครงการมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท โดยหลายงานพบความผิดปกติคือ ราคาที่ชนะประมูลต่ำกว่าราคากลางเฉลี่ยไม่ถึง 0.3% และมีคู่เทียบเพียงรายเดียว และยังเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในปี 2562 อีกด้วย
ณ เวลานี้ แม้ “ศักดิ์สยาม” จะยังไม่ถือว่ามีความผิด เนื่องจากตามกระบวนการศาลจะให้เวลาในการชี้แจงข้อกล่าวหา 15 วัน และดูเหมือนเจ้าตัวยังเก็บอาการ แสดงความมั่นอกมั่นใจว่า จะสามารถชี้แจงเรื่องนี้ได้ฉลุย
ทว่า เบื้องลึกแล้ว “บิ๊กสีน้ำเงิน” ก็แอบกังวลเรื่องนี้ไม่น้อย เตรียมหาทางหนีทีไล่ โดยให้ฝ่ายกฎหมายเกาะติดใกล้ชิด
“วงใน” ค่ายสีน้ำเงิน ยังมีการประเมินด้วยว่า การเล่นงาน “ศักดิ์สยาม” รอบนี้ไม่ต่างอะไรกับการ“เด็ดปีก” เพราะในห้วงที่การยุบสภาจะเกิดขึ้นในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่ “ศักดิ์สยาม” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปอีกอย่างน้อย 15 วัน
นั่นย่อมส่งผลไปถึงโครงการกระทรวงคมนาคมที่คั่งค้าง และเตรียมเสนอในช่วงทิ้งทวนรัฐบาล อาจต้องสะดุดหยุดลง จึงไม่ต่างกับการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” บรรดา ส.ส.ผ่านโครงการที่จะไปลงพื้นที่ในห้วงการเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง อีกทั้งจะไม่สามารถขับเคลื่อนงานในพื้นที่ได้อย่างสะดวกโยธิน
ไม่ต่างจากอีกหนึ่งชนักปักหลัง “ศักดิ์สยาม” คือประเด็นข้อกล่าวหา ฮั้วประมูลโครงการ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วง 2 (ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์) โยงไปถึงปมออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นเกมหวังผลทิ่มแทงกล่องดวงใจตระกูลชิดชอบ โดยเฉพาะ “เนวิน” ผู้เป็นพี่ชายและนายใหญ่แห่งค่ายภูมิใจไทย
ทั้งประเด็นการรุกที่ดินเขากระโดงรวมถึงประเด็นถือหุ้น ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2565 หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ"พรรคร่วมฝ่ายค้าน" ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพิ่มเติม 3 สำนวน
1. ขอให้ไต่สวนและดำเนินการด้านจริยธรรมของนายศักดิ์สยาม และส่งเรื่องให้ศาลฎีกา เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีครอบครองที่ดินของรัฐ ที่ดินรถไฟเขากระโดง โดยใช้ประโยชน์สำหรับธุรกิจตนเองและเครือญาติ
2. ขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับนายศักดิ์สยาม กรณีปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต จากการยึดถือครอบครองที่ดินรัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในฐานะ รมว.คมนาคม ที่กำกับดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อให้ รฟท.ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดิน รฟท. แต่ใช้เทคนิคด้านกฎหมาย ประสานงานให้กรมที่ดินเป็นผู้ฟ้องร้อง เป็นเจตนาทอดเวลาเพื่อประโยชน์ของตนเอง
3.ขอให้ตรวจสอบบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของนายศักดิ์สยาม ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.จากกรณีเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการยักย้ายถ่ายเท สร้างหลักฐานอันเป็นเท็จ จึงมีมูลเหตุเชื่อว่ามีการปกปิดหรือแจ้งทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ
ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นนี้ยังถูกขยี้ต่อไปที่ข้อกล่าวหา “ผิดจริยธรรมร้ายแรง” โดยเทียบเคียงกับกรณีครอบครองที่ดินของ ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และ “ครูโอ๊ะ” กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศึกษาธิการ จากค่ายภูมิใจไทย ซึ่งเพิ่งถูกศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต
ไม่ต่างจาก “นโยบายกัญชา” ที่ล่าสุดกฎหมายถูกปิดจ๊อบ “แท้งคาสภา” ไปเรียบร้อย ขณะที่เป้าหลักที่บรรดาพรรคการเมืองพยายามขยายแผล หนีไม่พ้น “หมอหนู อนุทิน” ในฐานะเจ้ากระทรวงที่มีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องนี้แบบเต็มๆ
ที่ผ่านมาพรรคการเมืองทั้งขั้วฝ่ายค้าน และรัฐบาล พยายามหยิบยกประเด็นการสอดไส้กฎหมายแบบ “สุดโต่ง”ไม่ต่างอะไรกับการเปิดช่องไปสู่การใช้กัญชาเสรี อีกทั้ง ยังมีการโยงไปที่ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้มีการอภิปรายในสภาโยงไปถึงเครื่องดื่มตู้กดแบรนด์ดังที่มีคนในตระกูล “ชิดชอบ” เข้าไปถือหุ้นอยู่ด้วย
ขณะที่ฟากฝั่งพรรคการเมืองทั้งขั้วรัฐบาลและฝ่ายค้าน ยามนี้ต่างช่วงชิงจังหวะ หยิบไปเป็นประเด็น “เกทับ-บลัฟกลับ” ผ่านหลายเวทีปราศรัย
โดยเฉพาะกรณีที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาถล่มนโยบายกัญชา “อนุทิน” เองก็ดูเหมือนจะอ่านเกมออก จึงตอบโต้กลับอย่างดุเดือดว่า เรื่องนี้มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง และรู้ว่าเป็นกลุ่มใด แต่คงไม่ต้องพูด โดยเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง แต่เชื่อว่าจะไม่ทำให้คะแนนเสียงของพรรคภูมิใจไทยลดลง เพราะพรรคฯ มีนโยบายและผลงานที่ชัดเจน ไม่เคยไปลอกเลียนผลงานคนอื่น
"ย้ำว่า พรรคฯ ไม่มีนโยบายจะไปเกทับนโยบายพรรคอื่น เหมือนกับที่พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ประกาศนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ...หากผลการเลือกตั้งออกมาว่าคะแนนของพรรคภูมิใจไทย มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี"
ฉะนั้นหลากหลายกลเกมที่ตีขนาบอยู่รอบทิศยามนี้ ไม่ต่างอะไรกับแผนไล่ต้อนให้“ขุนพลสีน้ำเงิน” ต้องจนมุม โดยเฉพาะ“อนุทิน” ก่อนหน้าโชว์พลังดูด ประกาศ “ตอกเสาเข็ม”แทบทุกครั้งที่ลงพื้นที่ ถึงเวลานี้ดูเหมือนว่าเสาเข็มที่ “บิ๊กภูมิใจไทย” มั่นอกมั่นใจว่าแข็งแรงกำลังถูกเขย่าให้สั่นคลอนจากบรรดาหลายพรรคการเมือง
ยิ่งในยามที่โหมดการเมืองใกล้ถึงวันชี้ชะตาด้วยแล้ว ต้องจับตาว่าที่สุดภูมิใจไทยโดยเฉพาะ “เนวิน” นายใหญ่ตัวจริง จะพลิกเกมสู้แผนเด็ดปีก-เขย่าเสาเข็มเพื่อแก้สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้อย่างไร