‘พรหมินทร์’เปิด3ปมบิลค่าไฟพุ่งเท่าตัว-มั่นใจรัฐบาลเพื่อไทยแก้ได้
‘พรหมินทร์’เปิด3ปมบิลค่าไฟพุ่งเท่าตัว-มั่นใจรัฐบาลเพื่อไทยแก้ได้ น้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บ./ลิตรแน่ ‘ศึกษิษฏ์’ โต้ข่าวปล่อย ยันรัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารค่าไฟตามเศรษฐกิจโต จวกรัฐบาล ‘ประยุทธ์’ เซนต์สัญญาซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 35 ปี ล็อคตัวเอง
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวการตั้งข้อสังเกตุถึงสาเหตุที่ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นผิดปกติ โดยนพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ประชาชนประสบปัญหาค่าไฟแพง ซึ่งเกิดจากการวางแผนที่ไม่ตระหนักว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบ และเป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากที่พรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพิ่งคิดออก คิดได้อย่างน่าตกใจ ทั้งที่นั่งอยู่ในตำแหน่งมาตั้ง 8 ปี แต่ประชาชนมีความเฉลียวฉลาดพอว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้
“พรรคเพื่อไทยได้เปิดตัวนโยบาย ‘ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ลดราคาทันที’ มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพราะเรามองเห็นปัญหา และรู้วิธีการแก้ไข จนในวันนี้พบว่า ปัญหาค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น เกิดจากสาเหตุนี้ 1.ระบบการคิดในโครงสร้างพลังงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นการส่งผ่านไปให้ประชาชนเท่านั้น (Cost pass-through) โยนให้ประชาชนรับ ไม่ได้คิดถึงประสิทธิภาพในการบริหาร”
2.ค่าพร้อมจ่าย โดยปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องใช้จริง 54% ในขณะที่ความต้องการใช้จริง อยู่ที่ 15% โดย 15% ดังกล่าวมาจากการที่ปกติทุกปีจะมีโรงไฟฟ้าทั้งหมด ที่ต้องหยุดการผลิต 1 เดือนในแต่ละปี จะเปิดกำลังการผลิตเต็มที่ จะมีไฟฟ้าสำรอง แต่ขณะนี้ไฟฟ้าเกิน 54% ซึ่งค่าพร้อมจ่ายนี้ ผูกพันกับข้อสัญญาของผู้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งนายแพทย์พรมินทร์ ยอมรับว่าไม่ง่าย แต่รัฐต้องผ่อนปรน หาวิธีการจัดการ ซึ่งมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพที่สามารถทำได้
3.โครงสร้างการบริหารค่าไฟฟ้า ปัจจุบันโรงไฟฟ้าผลิตอยู่ 60% สายไฟฟ้า 25% รวมแล้วเป็น 85% ที่เหลือสำหรับสำรองอีกประมาณ 15 % ซึ่งเป็นโครงสร้างปกติ หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะกระจายออกไปให้ใกล้กับความต้องการ เราสามารถประหยัดในส่วนของ 25% นั้นออกไปได้ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และอื่นๆ ทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงได้
ส่วนในระยะยาวแหล่งก๊าซธรรมชาติของคนไทย ต้องใช้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ที่ผ่านมาปล่อยให้การลงทุนชะงักไป 3 ปี และเพิ่งเริ่มการลงทุนใหม่ด้วยเหตุผลทางการบริหาร เมื่อครั้งที่นายแพทย์พรมินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนปี 2548 ได้อยู่ในระหว่างการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ผ่านมา 20 ปี ยังไม่บรรลุข้อตกลง หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะเร่งดำเนินการเจรจาให้แล้วเสร็จ และจะจัดหาแหล่งก๊าซร่วมกับกัมพูชาเพิ่มเติม เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชนลงให้ได้
ขณะที่ราคาน้ำมันแพง เกิดจากโครงสร้างราคาน้ำมันที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นโครงสร้างที่ใช้มาตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปิดให้มีการลงทุนสร้างโรงกลั่นไทยออยล์ โรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศ โดยในขณะนั้นการบวกค่าขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว จึงสามารถดึงค่าขนส่งออกได้ และภาษีสรรพสามิตและภาษีกองทุนน้ำมัน ต้องปรับลดลงให้เหมาะสมและแปรผันตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ มั่นใจหากพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาล จากการบริหารจัดการ น้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร
สำหรับราคาแก๊สหุงต้ม ปัจจุบันมีการบริหารจัดการที่ไม่เหมาะสม เพราะมีการนำเข้าแก๊สจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาแพง แล้วใช้เงินกองทุนน้ำมันไปชดเชยแก๊สที่นำเข้า จนกองทุนน้ำมันติดลบไปกว่า 89,800 ล้านบาท ทั้งที่ในอ่าวไทยมีแก๊ส แต่ส่งให้โรงงานปิโตรเคมี หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราบริหารจัดการ โดย นำเอาแก๊สราคาถูกที่ผลิตในประเทศ กับแก๊สราคาแพงจากการนำเข้า มาถัวเฉลี่ยกัน เพื่อให้เกิดราคาที่เหมาะสมต่อพี่น้องประชาชน และเพื่อให้การใช้เงินกองทุนน้ำมันเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
ทั้งนี้ในปัจจุบัน รัฐบาลบริหารจัดการกองทุนน้ำมันติดลบอยู่ที่ 89,800 ล้านบาท โดยพบว่านำเงินกองทุนน้ำมัน ไปใช้ในการชดเชยราคาน้ำมัน 42,921 ล้านบาท ชดเชยราคาแก๊สหุงต้ม 46,879 ล้านบาท ซึ่งพบว่าชดเชยแก๊สหุงต้มมากว่า
“เราคือผู้ที่เข้าใจและตระหนักในเรื่องนี้ก่อน เพราะทำงานใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ และจะเจรจากับประเทศต่างๆ ได้ ภายใต้ปรัชญาสำคัญ ของเราสำหรับประชาชน คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส พรรคเพื่อไทยตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ยืนยันจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เปิดตัวในช่วงปลายปีที่แล้ว วันนี้ถึงเวลาแล้วจริงๆ เราคิดเป็น คิดใหญ่ และทำได้จริง” นายแพทย์พรหมินทร์ กล่าว
นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกระแสข่าวที่ไฟฟ้าแพงเพราะมีการอ้างอิงที่สมัยที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เซนต์สัญญาเพิ่มกิโลวัตถ์ ซึ่งหากย้อนไปช่วงนั้นพบว่า GDP ประเทศไทยเติบโตประมาณ 7% ดังนั้นการมีกิโลวัตถ์ไฟฟ้าที่เหลือ เพื่อการรองรับเศรษฐกิจที่โตขึ้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ 8 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยโตต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ จากการบริหารของรัฐบาลนี้
“หากจะใช้ข้ออ้างว่าต้องมีส่วนเพิ่มเติมตามขีดความสามารถของเศรษฐกิจ ( Access capacity ) ให้มากกว่า 54% ถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม อีกทั้ง คสช.ทำรัฐประหาร มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานชุดใหม่ และไม่มีการเปิดประมูลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเข้ามาอีก และไม่มีการเจรจากับภาคเอกชน ทั้งที่การใช้พลังงานของประเทศลดลง ดังนั้นจึงต้องเข้าไปเจรจากับโรงไฟฟ้าเพื่อปรับลดการผลิตไฟฟ้าโดยทำอย่างเป็นธรรม”
ในขณะเดียวกัน ช่วงโควิด-19 กำลังระบาดมีการปิดโรงไฟฟ้า 7-9 โรง แต่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นยังได้รับรายได้เหมือนเดิม อีกทั้ง 6 เดือนก่อนยุบสภามีการเจรจาซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 แหล่งเพิ่มมาอีก ประมาณ 1,000 กิโลวัตถ์ และมีการทำสัญญาอนุมัติที่เขื่อนหลวงพระบางอีก 35 ปี ซึ่งเปรียบเสมือนการล็อคตัวเองไว้กับค่าใช้จ่ายซึ่งปกติต้องมีความยืดหยุ่นมากกว่านี้ ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้ค่าไฟแพงที่เกิดขึ้น จึงไม่เป็นความจริง และเกิดจากการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและวิสัยทัศน์ที่ไม่ชัดเจนมากกว่า ที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน