การเมืองปลุกขั้ว ช่วย “ประยุทธ์” เกมยาก สู้คู่แข่ง- พลิกแย่ง “คะแนนเพื่อน”
เกมชิงอำนาจจากการเลือกตั้ง ช่วงโค้งสุดท้าย ประเด็น "เสื้อแดง-ทักษิณ" ถูกปลุกอีกครั้ง หลังโพลชี้ "ขั้วอนุรักษ์นิยม" ส่อพ่ายอีกฝ่าย ทุกกลไกของ "คสช.เดิม" รวมกับ "ส.ว." จึงถูกใช้แก้เกมครั้งนี้
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม พบการชิงกระแส แย่งโอกาสของ “ข้างผู้ชนะ” ผ่านการผลักให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง “เลือกขั้ว” เพราะมูลเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง “เลือกข้าง” ยังมีเชื้อให้ “พรรคการเมือง” หยิบมาใช้ประโยชน์ได้
พรรคที่หยิบประเด็นนี้มาใช้อย่างชัดเจน คือ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” โดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ประกาศผ่านเวทีปราศรัย ที่จ.ชลบุรี เมื่อ 2 พฤษภาคม ปลุกความรักชาติ รักษาแผ่นดิน พร้อมย้ำถึงการสร้างความสามัคคี ไม่ขัดแย้ง ไม่แตกแยก
ทว่า นัยที่พูดบนเวที กับสิ่งที่ “แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ” - สุชาติ ชมกลิ่น ฐานะผู้จัดกิจกรรมหาเสียง ที่ จ.ชลบุรี ครั้งนี้ สื่อสารว่า “ชลบุรี คือ เมืองหลวงของคนเสื้อเหลือง” ทำให้เห็นว่า “รวมไทยสร้างชาติ” กำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
เพราะกำลังปลุกกระแสเลือกข้าง ให้กับ การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ให้เป็น “สงครามของขั้วการเมือง” เพื่อเอาชนะ-แย่งอำนาจการเมือง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสของ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ชูกลุ่มอนุรักษ์นิยม ในภาพรวม ตกเป็นรองให้กับ “กลุ่มเสรีนิยม” ที่นำโดย “พรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล” ตามผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากสำนักต่างๆ
โดยล่าสุด “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจโพลศึกเลือกตั้ง66 ครั้งที่ 3 “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ยังรั้งตำแหน่ง เบอร์หนึ่งและเบอร์สอง ขณะที่ “พล.อ.ประยุทธ์-รวมไทยสร้างชาติ” ถูกทิ้งห่างเกือบเท่าตัว
ดังนั้น การยกประเด็น “การเมืองเลือกข้าง” ที่เคยใช้ได้ผลตอนเลือกตั้งปี62 ปลุกคนเลือกตั้ง ที่ว่า “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่” จึงถูกขุดออกมาใช้อีกครั้ง
ทว่า การปลุกกระแส “เลือกข้าง” รอบนี้อาจใช้ไม่ได้ผลมากนัก เพราะ “มีแผล” จากประจักษ์พยานของภาวะเศรษฐกิจ-ประเทศติดหนี้-วิกฤตพลังงาน ซึ่งเป็นผลพวงของการบริหารประเทศของ “คสช.” ต่อเนื่องถึง “รัฐบาลประยุทธ์2”
ซึ่ง “พรรคขั้วฝ่ายค้านเดิม” ยกมาขยำ-ขยี้ ดิสเครดิต กระฉากหน้ากากคนดี ของ “ลุงตู่” ตั้งแต่ก่อนลงสนามเลือกตั้ง และกลายเป็นประเด็นที่ขยายวงกว้างในเกมชิงอำนาจครั้งนี้
อย่างไรก็ดีในกลุ่มที่ “นิยมลุงตู่” มีความพยายามช่วยขย่มประเด็นเลือกข้าง “เหลือง-แดง” เช่น กรณีของ “ส.ว.สมชาย แสวงการ” ที่โพสต์ “ภาพไลน์หลุด” ต่อการครอบงำพรรคเพื่อไทย ผ่าน “นาย ท.” โยงสัมพันธ์กับ “คนเสื้อแดง” ผ่านการโอนเงินค่าดูแล-ค่าทำกิจกรรมดึงคนแปรพักตร์กลับมา
เชื่อมกับ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมมูญไทย หยิบเรื่องโพสต์ของ “ส.ว.สมชาย” ยื่นเรื่องให้ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ตรวจสอบว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 73(1) มาตรา 75 และ มาตรา 158 ที่มีผลนำไปสู่การยุบพรรค หรือไม่
ทั้งที่ ภาพไลน์หลุดที่ “ส.ว.สมชาย” นำมาโพสต์นั้นในเชิงการตรวจสอบทั่วไป ดูเหมือนไร้น้ำหนัก เพราะการสนทนาผ่านแชทไลน์ สามารถปั้นแต่งได้ อีกทั้งยังไม่พบหลักฐานเชิงประจักษ์ของการ ครอบงำทางการเมือง-การโอนเงินค่าดูแล ที่เข้าข่ายความชัดเจน จนถึงขั้นเอาผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อเทียบกับ “เคสร้อง กกต. ให้ตรวจสอบ-ยุบพรรคการเมือง”
การโพสต์ของ “ส.ว.สมชาย” ที่ชี้นำถึงการ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ด้วยหลักฐานที่ดูมีน้ำหนักน้อยนั้น ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า ผิดวิสัยของนักตรวจสอบ และนักแสวงหาข้อเท็จจริง ตามที่เคยได้รับมอบหมายจากวุฒิสภาให้ตรวจสอบรายละเอียด-ข้อเท็จจริงในหลายกรณี
และการโพสต์ของ “ส.ว.สมชาย” ที่สอดรับกับ “ศรีสุวรรณ” คือ หนึ่งในกลไกที่ต้องการตอกย้ำถึง “ขั้วการเมือง-ความขัดแย้ง” ที่มีอยู่ในสังคมไทย และนำไปสู่การสร้างประโยชน์ในทางการเมือง ให้กับ “นักการเมือง-พรรคการเมือง” บางพรรคในเกมเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่
ในจังหวะโค้งสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องหาทางแก้เกม “ก้าวไกล” ที่โพลให้คะแนนนำ และยก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้เป็นนายกฯ คนต่อไป กับความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่ทวิตข้อความ “ขออนุญาติกลับบ้านเร็วๆ นี้”
ทำให้ “กลไก-เครือข่าย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ใช้เป็นจังหวะโกยแต้ม “พรรคเพื่อน” มาให้ “พล.อ.ประยุทธ์” เพื่อหวังให้ “ขั้วเดิม” ยังคงมีสิทธิไปต่อ ใน “สังเวียนการเมือง”
แม้จะรู้ว่ายาก ในภาวะที่ “สังคม” ต้องการเปลี่ยนโฉม “ผู้นำประเทศ และ รัฐบาล”