8 พรรคร่วม ตั้ง กก.เปลี่ยนผ่านรัฐบาล ปม ประธานสภา ยุติหลังกกต.รับรองส.ส.

8 พรรคร่วม ตั้ง กก.เปลี่ยนผ่านรัฐบาล ปม ประธานสภา ยุติหลังกกต.รับรองส.ส.

มติ 8 พรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้ง 7 คณะทำงานช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล "พิธา-ชลน่าน" ย้ำตรงกัน "ประธานสภา" ไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งรัฐบาลร่วมกัน มั่นใจได้ข้อยุติหลัง กกต.รับรอง "ส.ส."

เมื่อเวลา 16.15 น. ที่พรรคประชาชาติ  ภายหลังการประชุมร่วมระหว่าง 8 พรรคการเมืองที่ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) จัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคเป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ 

โดยภายหลังหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที แกนนำของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ร่วมแถลงรายละเอียด  นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การประชุมมีข้อสรุป คือ  

ร่วมจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่านมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นประธาน และกรรมการอีก 8 คนได้แก่

  1. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล  พรรคก้าวไกล
  2. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุลพรรคเพื่อไทย
  3. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ
  4. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ พรรคไทยสร้างไทย
  5. นายวิรัตน์ วรศสิรินพรรคเสรีรวมไทย
  6. นายกรรณวีร์ สืบแสง พรรคเป็นธรรม
  7. นายวสวรรธ์ พวงพรศรี พรรคเพื่อไทรวมพลัง
  8. นายเชาวลิต ขจรพงศ์กีรติ พรรคพลังสังคมใหม่ 

นายพิธา กล่าวอีกว่า สำหรับคณะกรรมการประสานงานฯ จะนัดประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 6 มิ.ย. 2566 ที่พรรคเพื่อไทย โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ คณะกรรมการประสานงานฯ จะตั้งคณะทำงานขึ้นมา 7 คณะ จากทั้งหมด 23 คณะ เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยคณะทำงานทั้ง 7 คณะเบื้องต้น เพื่อตอบสนองแก้ไขปัญหาของประชาชน ทั้งนี้คณะทำงานจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญของแต่ละพรรค เพื่อหารือและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้แก่

1.คณะทำงานค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซล และพลังงาน

2.คณะทำงานภัยแล้ง และเอลนินโญ

3.ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้

4.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

5.ปัญหาสิ่งแวดล้อม และ PM 2.5

6.เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และ SME

7.เรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติด

 

"การตั้งคณะกรรมการประสานงานฯ และคณะทำงานข้างต้น เป็นทางออกของทุกพรรคในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อกลั่นกรองเป็นนโยบายร่วมกันในการแถลงต่อรัฐสภา และนำไปปฏิบัติในฐานะฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป ยืนยันว่าการทำงานเป็นไปด้วยดี เราจะสามัคคีกัน เพื่อที่จะตั้งใจทำงาน ในการแก้ไขปัญหาของประชาชนให้มากสุดเท่าที่เป็นไปได้" นายพิธา กล่าว

 

เมื่อถามถึงการเจรจากับ ส.ว. เพื่อหาเสียง โหวตพิธาเป็นนายกฯ  นายพิธา กล่าวว่าไม่มีการข่มขู่ แต่จะพูดคุยเพื่อรักษาระบบของประเทศนี้ให้ได้ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นการรักษาระบบของรัฐสภา หาทางออกบ้านเมือง ยืนยันว่าไม่มีอะไร ที่ผ่านมาคณะเจรจามีการพูดคุย เป็นไปทิศทางที่ดี 

“ยืนยันว่าที่ผ่านมา ไม่มีความสั่นคลอนอะไร แต่สิ่งที่ทำน้อยไป และเพิ่งทำวันนี้ คือเอาปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าสื่อเห็นด้วย และให้ความร่วมมือ ถ้ามีคำตอบดี ๆ มันน่าจะเป็นการเสนอข่าวสื่อสร้างสรรค์” นายพิธา กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการจัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรีนั้น นายพิธา กล่าวว่า จะเกิดขึ้นหลังทำงานร่วมกัน โดยยึดการทำงานเพื่อประชาชนเป็นตัวตั้ง ส่วนตำแหน่งประธานสภา นั้น พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย จะพิจารณาร่วมกัน

"เรื่องประธานสภาฯ ไม่เป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพวกเราพูดคุยในจุดประสงค์เดียวกัน คือการเตรียมพร้อมบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อประชาชน ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เหลือเพียงรับรอง ส.ส.อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ที่จะรับรองส.ส. เพื่อสามารถเปิดประชุมสภาฯ ได้  และนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เกิดขึ้นได้โดยเร็ว" นายพิธา กล่าว

เมื่อถามถึงกรอบเวลาในการหารือเรื่องประธานสภาฯ ระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย นายพิธา กล่าวยืนยันว่าจะทำให้เร็ว และเหมาะสมที่สุด ตามกรอบของกฎหมาย ทั้งนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าจะแล้วเสร็จภายในวันหรือเวลาใด แต่ต้องดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย

ขณะที่  นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นการหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ ว่า จากการหารือเบื้องต้น มีข้อตกลงร่วมกันชัดเจนว่า ตำแหน่งประธานสภาฯทั้ง 2 พรรคจะพิจารณาร่วมกัน ไม่คำนึงว่าเป็นโควตาของพรรคใด พรรคหนึ่ง และจะไม่เกิดเป็นปัญหาอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันทั้ง 8 พรรค

"ตำแหน่งประธาน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐบาล และเลือกนายกฯ โดยจะมุ่งเน้นประโยชน์สุขต่อประชาชน ที่มุ่งหวังรัฐบาลประชาธิปไตย  ถ้า กกต.ประกาศรับรอง ส.ส. จะต้องข้อยุติ เพื่อเตรียมเข้าสู่การเลือกที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร" นพ.ชลน่าน กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงโฉมหน้าของคณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่าน ว่า ยืนยันไม่ใช่การฟอร์มทีม ครม.เพราะไม่ได้จัดตั้งตามกระทรวง แต่เป็นการจัดตั้งตามภารกิจ MOU ที่เป็นวาระการทำงานร่วมกัน ว่าไม่ใช่เป็นเพียงกระดาษเปล่า