กกต.ถอนฟืน-โยนเผือกร้อน "82ส.ส." เกมวางยาขั้วอำนาจ
สงครามยังไม่จบ-อย่าเพิ่งนับศพทหาร ตัวเลข "82ส.ส." มีเวลาสอยอีก1ปี ฝ่ายไหนโดน "วางยา" ก่อนฝ่ายนั้นย่อมเสี่ยงปราชัย
ถือว่าเหนือความคาดหมายอยู่พอสมควร หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 ครบทั้ง 500 คน
"แสวง บุญมี" เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงเหตุผลในการรับรองผลครบ100%จากเดิมที่ถูกคาดการณ์ว่าอาจรับรองแค่95% ตามบทบัญญัติมาตรา 127แห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาได้ว่า กกต.ยังมีอำนาจพิจารณาการสืบสวนไต่สวน ตามมาตรา 138 แห่งพ.ร.ป.ตั้งส.ส.
“หมายความว่าหลังการเลือกตั้งหากมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริต กกต.จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง”
ทั้งนี้ การที่ กกต.ประกาศรับรองผลไปก่อนเนื่องจากกระบวนการสืบสวนสอบสวนผู้ถูกร้องเรียนอาจดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 60 วัน และเห็นว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เนื่องจากขณะนี้มีการอ้างพยานหลักฐานเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ทว่าการที่กกต.ประกาศรับรองผลครบทั้ง500คน หรือ100% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่95% โดยเว้นไว้24คนที่ไม่ประกาศรับรอง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็จะส่งผลไปถึงเสียงส.ส.ซึ่งจะโหวตในสภาที่มีมีโอกาสพลิกผันได้ทุกเมื่อ
โดยเฉพาะ“พรรคก้าวไกล” และ “พรรคเพื่อไทย” ที่มีเสียงห่างกันเพียง10เสียง ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยยังหวังไปถึงคะแนนบัญชีรายชื่อหลังกกต.รับลงผลที่อาจได้ส.ส.มากขึ้นจนทำให้แต้มห่างระหว่าง2พรรคลดลง
เมื่อนับรวมกับจำนวนส.ส.ที่อาจมีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติซึ่งคาดการณ์ว่า จะเป็นในส่วนของพรรคก้าวไกลจำนวนมากเช่นนี้ก็ย่อมมีโอกาสที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยขยับขึ้นมาเป็นลำดับ1 ได้
ทว่า ต่อมาเมื่อวันที่14มิ.ย.กลับมีการปล่อย "เอกสารหลุด" กกต.แขวน "71ส.ส." ที่มีปัญหาคุณสมบัติ โดยมีรายชื่ออย่างชัดเจน จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากกกต.เลือกที่จะรับรองส.ส.95% ตามที่กฎหมายกำหนด โดยแขวน24คนจากคนที่มีปัญหาคุณสมบัติทั้งหมด71 ก็จะเกิดคำถามตามมาว่ากกต.ใช้มาตฐานอะไรในการพิจารณา
ฉะนั้นเพื่อเป็นการ "ถอนฟืนออกจากกองไฟ" ลดเชื้อเพลิงที่โหมไปที่กกต. บวกข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาตามกฎหมาย60วัน ที่กกต.กังวลว่าอาจพิจารณาไม่ทันตามที่กำหนด
ทำให้ที่สุดกกต.ต้องตัดสินใจรับรองผลแบบ “ยกแข่ง” ทั้ง500คน และ “โยนเผือกร้อน” ให้เรื่องตรวจสอบ “คุณสมบัติ” ของส.ส.ทั้ง82คน ตามที่กกต.แถลงไปชี้ขาดที่ศาลฎีกา ตามบทบัญญัติมาตรา 138 แทน
กกต.เองก็มีบทเรียน ในเรื่องการถือ “เผือกร้อน” ไว้ในมือ โดยเฉพาะกรณีแจก “ใบส้ม” ให้กับ “สุรพล เกียรติไชยากร” ผู้สมัครส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เมื่อปี2562 กรณีใส่ซองทำบุญพระสงฆ์ 2,000 บาท อันเข้าข่ายผิดพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. มาตรา73 (2) ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่น ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือ สถาบันอื่นใด
ก่อนที่ต่อมาศาลฎีกา จะพิพากษายกฟ้องคดีที่กกต. ยื่นฟ้องสุรพล โดยระบุว่า "ไม่ใช่เป็นการซื้อเสียง หรือทุจริตการเลือกตั้ง ส.ส."
ขณะที่"สุรพล" ได้ใช้สิทธิต่อสู้ในกระบวรการศาล โดยยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 1 กับพวกรวม 14 คน จนกระทั่ง
- ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2565 ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง 1ชำระเงินจำนวน 64,144,683.77 บาท พร้อมดอกเบี้ย
- ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษา แก้เหลือ ชำระเงิน 56,792,568 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามระยะเวลาและจำนวนที่ศาลชั้นต้นกำหนด
ทำให้กกต.ต้องยื่นฎีกาซึ่งถือเป็นด่านสุดท้ายในการสู้คดีดังกล่าว
อย่างไรก็ดีเมื่อเกมพลิกออกหน้านี้ “82ส.ส.” ตามที่มีการเปิดตัวเลขล่าสุด จึงยังต้องไปลุ้นกันที่ด่านเบื้องหน้าที่อาจลากยาวอีกเป็นปี บอกได้เลยว่า เกมๆนี้ไม่จบง่ายๆฝ่ายไหนเพลี้ยงพล้ำโดน "วางยา" เยอะสุดฝ่ายนั้นก็ย่อมเสี่ยงปราชัยเป็นได้
โดยเฉพาะ “เสียงโหวต” ในสภาที่พร้อมจะเกิดเกม “หักเหลี่ยม-เฉือนคม” ได้ทุกเมื่อ!