“กอ.รมน.ภาค4” แจ้งความเอาผิด 4ข้อหาหนัก 5 ราย ผู้จัดเสวนาแบ่งแยกรัฐปัตตานี
“กอ.รมน.ภาค4” แจ้งความสภ.ปัตตานี เอาผิด 4 ข้อหาหนัก “กลุ่มผู้จัดงานเสวนาเอกราชปาตานี” ประชามติแยกดินแดน 5ราย ละเมิดกฎหมายความมั่นคง ตำรวจ จ่อออกหมายเรียกกว่า 10 คน รวมพรรคการเมือง
จากกรณีกลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับ สันติภาพปาตานี” เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมาเข้าข่ายผิดกฎหมายแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ ล่าสุดมีรายงานว่า พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค4 ผอ.รมน.ภาค 4 มอบหมายให้ พันเอกเฉลิมชัย สุทธินวล ผอ.สกส. กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าและพ.ต.อ.จารุวิทย์ วงศ์ชัยกิตติพร รอ ผอ.สกส.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ร.อ.พนมกรณ์ พันพรมมา ประจำ กองคดี สกส.กอ. รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าพบพนักงาน สอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เพื่อยื่นหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนทำการสืบสวนสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย กับบุคคลและคณะบุคคล ทั้งกลุ่มนักศึกษา พรรคการเมืองนักการเมือง ภาคประชาสังคม ที่เกี่ยวข้องกับการจัด เสวนา “การกำหนดอนาคตตนเองในสันติภาพปาตานี” ที่ห้องประชุม ศรีวังสา คณะรัฐศ่าสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขต ปัตตานี
ที่ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมาย รัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.66 ณ มอ.ปัตตานี อันเข้าลักษณะ ที่เป็นการกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและความมั่นคงของสังคมให้ได้รับโทษตามกฎหมายจนถึงที่สุดทางตำรวจภ.จว.ปัตตานี รับคำร้องแล้ว เตรียมตั้งชุดพนักงานสอบสวน ตรวจสอบ พยาน หลักฐาน ทั้งหมด เพื่อที่จะได้ ดำเนินการออกหมายเรียกผู้ที่เข้าข่ายในการทำผิดกฎหมาย กว่า 10 ราย เพื่อเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากรายงานวิทยุข่าวตำรวจ ได้เปิดเผยรายละเอียด กอ.รมน. แจ้งความดำเนินคดีอาญา 4 ข้อหาหนัก เอาผิดคณะผู้จัดงานและผู้ร่วมงานเสวนา โดยการแจ้งความร้องทุกข์นั้นเริ่มตั้งแต่พฤติกรรมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เพจเฟซบุ๊ก Patanian Student Movement - Pelajar Bangsa เผยแพร่ประชาสัมพันธ์กำหนดจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี” ณ ห้องประชุมศรีวังสา คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ต่อมาในวันที่ 7 มิถุนายน 2566 เวลา 10.00 – 16.00 ซึ่งเป็นวันจัดกิจกรรมตามที่ได้ประชาสัมพันธ์ พบว่ามีกลุ่ม PELAJARBANGSA (ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ) ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเปิดตัวขบวนนักศึกษาแห่งชาติ (PelajarBangsa) และจัดเสวนาในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self- Determination) กับสันติภาพปาตานี” มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 60 คน ภายในงานมีการลงทะเบียน และกำหนดให้ผู้เข้าร่วมเข้าคูหาลงแสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชาวปาตานี
การออกเสียงทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย มีข้อความว่า “คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย” และมีการแจกแผ่นพับเอกสารแนะนำตัวองค์กร พร้อมประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และมีการเปิดงานมีการอ่านบทกวี สรุปสาระเนื้อหาที่สำคัญ มีใจความพยายามในการปลุกระดมให้ประชาชนชาวมลายูปาตานีอย่าลืมรากเหง้าความเป็นมาและการถูกกดขี่จากอาณาจักรสยาม และพยายามรวมตัวกันมีความเป็นปึกแผ่นสามัคคี เพื่อปกครองตนเอง
ผู้แจ้งจึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย
- นายอิรฟาน (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
- นายสารีฟ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.เมืองนราธิวาส
- นายฮุซเซ็น (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
- นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.สุไหงปาดีจ.นราธิวาส
- นายฮากิม พงตีกอ ภูมิลำเนา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายชื่อผู้ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี ยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอีก แต่ยังไม่ได้ระบุชื่ออีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีข่าวจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า มีจำนวนมากกว่า 10 ราย รวมถึงพรรคการเมืองด้วย
สำหรับ นายอาเต็ฟ เป็นแกนนำกลุ่ม The PATANI องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็นลักษณะนี้อยู่แล้ว ส่วน นายฮากิม เป็นอดีตรองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม เพิ่งถูกมติพรรคสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหลังไปร่วมกิจกรรมสัมนาเอกราชปาตานีที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกันในครั้งนี้
ข้อหาที่ผู้แทน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดี มี 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1.ร่วมสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใดอันเป็นส่วนของแผนกำรเพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ หรือรู้ว่ามีผู้จะเป็นกบฏ แล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 114 ระวางโทษจำคุก 3-15 ปี
2.ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยว่าจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมำยแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ำย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
3.เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 14,000 บาท
4.สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ