มุมมอง ‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ ประธานสภาฯ ในอ่างปลา ปชต.
“ถ้าก้าวไกลและเพื่อไทยไม่แตกกัน จับมือและแถลงข่าวบนโต๊ะตลอด มาด้วยกันไปด้วยกัน เกาะกุมกันไว้ มันเป็นความสุข และมอบให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”
สถานการณ์การแย่งชิงเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ที่ถูกจับตาว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนของสมการการเมือง หากทั้งสองพรรคตกลงกันไม่ได้ โดยวันที่ 28 มิ.ย.2566 นี้ ทั้งสองพรรคจะเจรจากันเพราะสรุปตำแหน่งประธานสภาฯ จะเป็นโควตาของพรรคใด
อดีตประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คม ชัด ลึก’ ดำเนินรายการโดยวราวิทย์ ฉิมมณี ออกอากาศทาง ‘เนชั่นทีวี’ ช่อง 22 ตอนหนึ่ง ถึงสถานการณ์ที่ทั้ง 2 พรรคนี้จะผ่านเรื่องดังกล่าวไปได้อย่างไรว่า ปัญหาตรงนี้ เชื่อว่า 2 พรรคคุยกันได้ ซึ่งสื่อมวลชนเคยถามว่าผมว่าคิดอย่างไร ได้ตอบกลับไปเป็นภาษาวัยรุ่นเรียกว่า “มึงกับกู เราเจออะไรกันมาบ้าง หลังการยึดอำนาจ เราจะถอยกลับไป ไปเชื่อคนอื่นมากกว่าพวกเราด้วยกันเองหรือไม่”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องถามว่า เจออะไรกันมาบ้าง เราอย่าให้ความฝัน และความสุขของประชาชนสูญหาย เชื่อว่ายีนและดีเอ็นเอ 2 พรรคนี้ยังมีอยู่ การที่ตกลงกันไม่ได้ จะแย่งกัน มันอยู่ในอ่างของปลาประชาธิปไตย ปลา 2 ตัว คือ เพื่อไทยก้าวไกล อยู่ในอ่างเดียวกัน อยู่ร่วมกัน ในที่สุดก็ตกลงกันได้
การตกลงกัน ยังมีอีกว่าเราจะสร้างรากฐานวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่หรือไม่ ถ้าใครได้ที่ 1 ก็ขอให้คนนั้นเอาประธานสภาฯ ไปก่อน เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน แต่ถ้ามีความจำเป็นทางการเมืองไม่อยากให้ใครได้ ก็ให้ที่ 1 ที่ 2 ตกลงกัน เหมือนสมัยคุณลุง ป. เพราะตอนนั้นขั้วการเมือง 2 ขั้ว มันอยู่มุมแดง มุมน้ำเงิน ไม่ได้เป็นปลาในอ่างเดียวกัน ต่างคนต้องแย่งพรรคไปอยู่ ให้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง พรรคเล็กเลยมีอำนาจต่อรอง เลยเป็นความจำเป็นทางการเมืองที่ต้องอยู่
“ตอนนั้นคุณสุชาติ (ตันเจริญ) แต่งตัวรอกันแล้ว เราทราบเบื้องหลังกันแล้ว มันเป็นความจำเป็นทางการเมือง แต่ตอนนี้ทั้ง 2 พรรค (ก้าวไกล-เพื่อไทย) ไม่มีความจำเป็นทางการเมือง แต่เราจะสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ หรือเราจะเดินแบบไม่ต้องมีบรรทัดฐาน แล้วแต่พี่น้อง 2 พรรคไปคุยกัน เชื่อว่าในที่สุด ถ้าเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ ก้าวไกลน่าจะมีโอกาสมาก” ยงยุทธ กล่าว
ทั้งนี้ การจะตกลงกันได้หรือไม่ได้ จะถูกบังคับด้วยคะแนนเสียง ถ้าเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง 2 พรรครวมกว่า 290 เสียง ถ้าพรรคใดพรรคหนึ่งบอกว่า ขอเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นปัญหาในอนาคต
“เชื่อว่าปัจจุบัน เรื่องนี้กำลังถูกเขย่า แต่อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน เรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ เนื่องจากคะแนนเสียงจะเป็นข้อบังคับให้ทั้ง 2 พรรคต้องเกาะกุมอยู่ด้วยกัน เพราะตำแหน่งประธานสภาฯ ไม่ต้องอาศัย ส.ว.ก็สบาย พอเกิน250 เสียง จะเลือกทางเดิน ปล่อยฟรีโหวต หรือบอกว่า แล้วแต่พระเดชพระคุณของ ส.ส.แต่ละท่าน การพูดคุยของผู้บริหารพรรค ความน่าเชื่อถือมันไม่เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเกมเรื่องเกิน 250 เสียง มันต้องอยู่ด้วยกัน”
เมื่อถามว่า ต้องคำนึงหรือว่าจำนวน ส.ส.พรรคอันดับ 1 และอันดับ 2 ห่างกันเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นจะไม่จบ นายยงยุทธกล่าวว่า สมัยก่อนยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แข่งกับนายชวน หลีกภัย คะแนนห่างกัน 1-2 เสียง นายชวนก็โทรไปยินดีกับชัยชนะ เหมือนการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 บางคนในพื้นที่ กทม.ชนะ 4 คะแนนก็ถือว่าชนะ ตนเคยแพ้ 186 คะแนน ก็เคารพกติกาพวกนี้ ไม่ว่าชนะหรือแพ้แค่ไหน เรายอมรับกติกา เที่ยวหน้าว่ากันใหม่ บ้านเมืองจะสงบ
เมื่อถามว่า ในวันนี้มีความพยายามจากบางคนในพรรคเพื่อไทย บอกให้พรรคก้าวไกล ถอยให้พรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ กล่าวว่า ประเด็นนี้ไม่เป็นปัญหา ที่เป็นปัญหาคือบุคคลที่ 3 แต่คนมีอำนาจในพรรคไม่มีใครรู้ว่า เขาคุยกันหมดแล้วหรือยัง เราไม่ใช่ไม่ให้ราคาบุคคลที่ 3 เพียงแค่แสดงความคิดเห็น เพราะในท้ายที่สุด พรรคเขาก็ต้องมีมติกันว่าเราพูดคุยกัน เขาจะนัดคุยกัน แต่ลึก ๆ คนที่เขาคุยกัน คือคนทำงานอยู่ในห้อง กับคนทำงานนอกห้อง ไม่เหมือนกัน
“เมื่อก่อนอยู่ด้วยกันมา ระเบียบวินัยของพรรคเพื่อไทยไม่ได้เสียหาย เชื่อว่าถ้ามติออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครที่จะแหก ถ้าแหกเหล่าแหกกอไปแล้วจะมีปัญหา โดยเฉพาะจะอยู่สังคมในพรรคไม่ได้ เชื่อว่าไม่น่าจะมีเกิดขึ้นอย่างนั้นตอนนี้เรื่องทั้งหลายกำลังเขย่ามากกว่า” นายยงยุทธ กล่าว
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ฝ่ายรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน จะชูคนของพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นประธานสภาฯ แล้วพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร นายยงยุทธ กล่าวว่า มีความพยายามที่จะรักษาอำนาจทางการเมืองไว้ และทุกคนมองว่า ประธานสภาฯ คือกระดุมเม็ดแรก จะทำให้เป็นสัญลักษณ์ วันนี้ถ้าสามารถทำให้ประธานสภาฯ ไม่ใช่อยู่ในอ่างฝ่ายประชาธิปไตย แต่อยู่ในอ่างอื่น เกมการเมืองก็เปลี่ยน เชื่อว่าเป็นความพยายามของเสียงข้างน้อย อยากมีบทบาทจัดตั้งรัฐบาล เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำได้หรือไม่ เนื่องจากทั้ง 2 พรรค คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่ถ้ารวมกันแล้วไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ก็เป็นไปได้ แต่ว่าวันนี้เราเห็นสภาพอย่างนี้แล้ว โอกาสดิ้นยากมาก
“เชื่อว่า ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าแฟนคลับทั้งหลายอยู่ที่บ้านรอ เพราะวันนี้สังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก เป็นโซเชียลแซงชั่นอย่างดี กดดันคนให้มีบทบาท 2 พรรคปลาในอ่างประชาธิปไตย อยู่ตรงข้ามกับลุงที่ยึดอำนาจมา ถ้า 2 พรรคนี้ทำอะไรที่ทำให้ประชาชนไม่ถูกใจ มีปัญหาตามมาอีกเยอะแยะ ถ้ามีสิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยไปหักพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะประธานสภาฯ หรือพรรคก้าวไกลไปรวมพรรคอื่นนอกอ่าง ก็จะมีปัญหา”
เมื่อถามว่า มีเหตุผลอะไรที่พรรคเพื่อไทยจะหักกับพรรคก้าวไกล และผลักไปเป็นฝ่ายค้าน บางคนวิเคราห์กันว่า เป็นเพราะสาเหตุนายทักษิณต้องการกลับบ้านหรือไม่ ยงยุทธ กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องที่จะไปเชื่อมโยงกับกรณีนายทักษิณกลับบ้าน เรื่องจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะ ส.ว. 250 คน เกินกึ่งหนึ่ง หรือสัก 100 คน มาอยู่ฝั่งประชาธิปไตยหรือไม่ หากรวมอยู่ 250 คน รวมกับฝ่ายรัฐบาลเดิม 188 เสียงที่ไม่ได้เชิญมาร่วมรัฐบาล จะกลายเป็น 400 กว่าเยง โหวตในสภาฯ ชนะ แต่มันเป็นเสียงข้างน้อยที่ประชาชนไม่ได้เลือก หาก ส.ว.ไปช่วย ที่เราพูดว่าจะเกิดวิกฤติ สิ่งที่จะโหวตต่อมา ประชุมกันอีก เพราะเป็นปลายเปิด ไม่ได้บอกว่า ครั้งเดียวแพ้ ก็ต้องปรึกษาหารือกัน ไม่ได้ถึงช่วงเวลานั้นที่เพื่อไทยไปอยู่กับ ส.ว. หรือ 188 เสียง เพียงแต่เป็นการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่มองว่า บ้านเมืองไม่ได้ไปถึงวิกฤติขณะนั้น
สุดท้ายเชื่อหรือไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปอย่างราบรื่นตามขั้นตอน นายยงยุทธ กล่าวว่า เชื่อว่าการตั้งประธานสภาฯ จะราบรื่น สาเหตุที่เชื่อคืออาศัยเสียง ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง คือ 250 เสียงในสภาฯ แต่ตอนตั้งนายกฯ มีเรื่องกังวลใจเพราะ ส.ว.ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเหมือน ส.ส. แต่ต้องรับผิดชอบกับผู้แต่งตั้งท่าน ซึ่งมีอำนาจในรัฐบาลเดิมกลัวจะเกิดวิกฤติทางการเมืองมากกว่า ถ้าไม่เป็นไปตามเสียงที่ประชาชนมีฉันทานุมัติ
“ถ้าก้าวไกลและเพื่อไทยไม่แตกกัน จับมือและแถลงข่าวบนโต๊ะตลอด มาด้วยกันไปด้วยกัน เกาะกุมกันไว้ มันเป็นความสุข และมอบให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน” ยงยุทธ กล่าว