นักวิชารัฐศาสตร์ “ธำรงศักดิ์” เรียกร้อง ส.ว.โหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากของ ส.ส.
“ธำรงศักดิ์” ยกโพลสื่อ สะท้อนความต้องการ ปชช.ส่วนใหญ่ เรียกร้อง ส.ว.โหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากในสภาฯ ชี้ลากยาว 2 เดือน ทำร้ายประเทศ
รศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความ หัวข้อ “ประชาชนต้องการให้ ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากของ ส.ส.” เนื้อหาระบุว่า โพลของมติชน X เดลินิวส์ ที่สำรวจทัศนคติของประชาชนต่อการเลือกตั้ง ในระหว่างการเลือกตั้ง ส.ส. และเผยแพร่เมื่อ 29 เมษายน 2566 ซึ่งมีผลสำรวจที่ใกล้เคียงมากกับผลการเลือกตั้ง เมื่อผลชี้ว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นพรรคที่ได้ที่นั่งเป็นอันดับที่หนึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับความนิยมให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่สูงกว่าคนอื่นๆ อย่างมาก
โดยมีผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถามออนไลน์กว่า 7.8 หมื่นคน ทั้งนี้ ในคำถามข้อที่ 4 ถามว่า “ท่านเห็นว่า สมาชิกวุฒิสภา หรือ “ส.ว.” ควรโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุดหรือไม่” ประชาชนเห็นว่าควรเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่ได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุด ร้อยละ 82.54 และเลือกจากพรรคการเมืองใดก็ได้ ร้อยละ 17.46
ต่อมาเครือข่ายนักวิชาการเสียงประชาชนทำโพลออนไลน์หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมเสร็จสิ้นลง มีคำถามเพียงข้อเดียวว่า “ส.ว. ควรเคารพเสียงของประชาชน โดยโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงของ ส.ส. หรือไม่” เผยแพร่เมื่อ 18 พฤษภาคม 2566 มีผู้ร่วมตอบคำถามในโพลนี้มากถึง 3.48 ล้านครั้ง ประชาชนส่วนมากถึง 84.62% ตอบว่า เห็นด้วย และ 15.38% ตอบว่า ไม่เห็นด้วย
ทั้งสองการสำรวจที่ผลออกไปในทิศทางเดียวกันว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วยที่จะให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคที่ได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุด และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงของ ส.ส. ซึ่งก็คือโหวตเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่สามารถรวม 8 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล มีเสียง ส.ส. 313 คน จาก ส.ส. ทั้งหมด 500 คน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร มากกว่าเมื่อครั้งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำปี 2562 ที่รวมเสียงจาก 19 พรรคการเมืองได้ 251 ส.ส. โดยได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. เพียง 1 เสียง ซึ่ง ส.ว. 249 คนทั้งหมด (เว้นประธาน ส.ว. งดออกเสียง) ได้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากของ ส.ส. ตามที่ ส.ว. ได้ให้เหตุผลในครั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ครั้งนี้ แปดพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมเสียง ส.ส. ได้มากถึง 313 เสียง หรือมีจำนวนมากเกินกว่าครึ่งของ ส.ส. ทั้งสภาถึง 63 เสียง นับว่ามากกว่าครั้งจัดตั้งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์โดยแกนนำพรรคพลังประชารัฐอย่างยิ่ง เมื่อบวกกับโพลทั้งสองครั้งที่ชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศต้องการให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมากของ ส.ส. ในสภา ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่ ส.ว. ทุกคน จะยึดมั่นในเหตุผลและเคารพเสียงของประชาชน
เกือบสองเดือนหลังการเลือกตั้ง ที่ประเทศเรายังไม่สามารถมีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้ นับว่าได้ทำร้ายประเทศชาติมากเกินพอแล้ว ดังนั้น ส.ว. จึงพึงร่วมสร้างความเจริญแก่ชาติไทย ด้วยการโหวตนายกรัฐมนตรีตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยต้องการ
ส.ว. โปรดอย่าทำให้ประชาชนผิดหวังมากไปกว่านี้