"เรืองไกร" ยื่น "กมธ.การเมือง" สอบ "เศรษฐา" ส่อมีพฤติกรรมขัดรธน.ม.160(4)
"เรืองไกร" ขอ กมธ.การเมือง วุฒิสภา เร่งสอบ พฤติกรรม "เศรษฐา" เอี่ยวหนีภาษีซื้อที่ดิน ย่านสารสินหรือไม่ ก่อนโหวตนายกฯ ด้าน "กมธ.ฯ" เด้งรับ ชูมีอำนาจตามรธน.272
ที่วุฒิสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.)การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา โดยนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ฐานะรองประธานกมธ.คนที่สาม, ว่าที่ ร.ต.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี สว.และเลขานุการกมธ., นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สว. และกมธ. ร่วมรับยื่นหนังสือจากนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อกล่าวอ้างที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอชื่อให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบให้เป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 กรณีเมื่อปี 2562 บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่นายเศรษฐา ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดและกรรมการแสนสิริ ได้ซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน โดยมีพฤติกรรมเข้าข่ายเลี่ยงการเสียภาษีหรือไม่ และเข้าข่ายมีพฤติกรรมส่อว่าเป็นบุคคลที่อาจขาดคุณสมบัตินายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) ว่าด้วยมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่
ทั้งนี้นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนขอให้กมธ.ตรวจสอบเรื่องที่ถูกอ้างถึงนายเศรษฐา ก่อนที่จะมีการเสนอชื่อและโหวตให้เป็นนายกฯ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้น 10 วันหลังจากนี้ โดยขอให้เรียกข้อมูลจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวการเมือง, บริษัทแสนสิริ ในส่วนของแคชเชียร์เช็ค ซื้อขายที่ดิน สัญญาซื้อขาย รวมถึงรายละเอียดของการชำระภาษี เพื่อพิสูจน์ว่าหนีภาษีหรือไม่ , กรมสรรพากร รวมถึงผู้ขายทุกรายมาให้ข้อมูล
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่าจากการตรวจสอบของตนพบว่า ผู้ขายที่ดินทั้ง 12 รายนั้นระบุว่าไม่ทราบเขตที่ดินที่ชัดเจน แม้ผู้ขาย 12 รายจะเสียภาษีตามใบเสร็จ แต่ไม่ใช่ภาษีอากร หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม และในเรื่องดังกล่าวมีกฎหมายว่าด้วยการเสียภาษีไว้เฉพาะ เพราะบุคคล 12 รายได้รับโอนที่ดินเมื่อปี 2561 ก่อนจะขายในปี 2562 ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ต้องเสียภาษีเฉพาะธุรกิจ ในกรณีที่ถือครองที่ดินไม่เกิน 5 ปีด้วย ขณะที่บริษัทแสนสิริ ถือว่าเป็นบริษัทเอกชนที่ร่วมลงนามในข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นพบว่าที่ดินที่บริษัทซื้อขายนั้นอยู่ระหว่างการพัฒนา มูลค่า 1,600 ล้านบาท แต่ในปี 2561 พบมูลค่าที่สูงถึง 1.3หมื่นล้านบาทและปี 2562 พบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้นในการซื้อขายที่ดินของบริษัทแสนสิริ ในปีดังกล่าวต้องตรวจสอบในส่วนของราคาที่ดิน และมีการเสียภาษีร่วมด้วยหรือไม่
“ผมเชื่อว่ากมธ.จะมีผู้ที่เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเรื่องที่ถูกกล่าวอ้าง อย่างไรก็ดีผมไม่ขอชี้นำสว.หรือบุคคลใดว่า ข้อกล่าวอ้างที่เกิดกับนายเศรษฐา นั้นจะทำให้ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) หรือไม่ แต่หากนายเศรษฐา ได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ ผมมีหน้าที่ที่จะตรวจสอบในประเด็นคุณสมบัติตามรัฐธรรมมนูญมาตรา 160(4) ต่อว่าเคยมีความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่” นายเรืองไกร กล่าว
ขณะที่นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า กมธ.มีอำนาจรับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่มีหน้าที่เห็นชอบบุคคลที่เสนอให้เป็นนายกฯ ซึ่งบุคคลนั้นต้องถูกตรวจสสอบในด้านของจริยธรรม พฤติกรรม การปฏิบัติ และคุณสมบัติตามรัฐธรรมนุญด้วย อย่างไรก็ดีการตรวจสอบของ สว.นั้นจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ที่เหลือเวลาก่อนจะโหวตนายกฯ อีก 10 วันนั้นเชื่อว่าเงื่อนเวลาดังกล่าวจะเร่งรัดให้กมธ.พิจารณาศึกษา รวมถึงฟังผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด
นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยอมรับว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของเอกชั้นนั้น ไม่มีกฎหมายใดบังคับให้มาชี้แจง แต่ต้องขอความร่วมมือเพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่ถูกกล่าวอ้าง ขณะที่ก่อนหน้านี้บริษัทแสนสิริ เคยมีคำชี้แจงว่านายเศรษฐาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดหาและซื้อที่ดินนั้น ตนมองว่าเป็นประเด็นที่รับฟังได้ และนอกจากนั้นต้องรับฟังความรอบด้านให้ครบถ้วนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.การพัฒนาการเมือง ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. เป็นประธานกมธ. นัดประชุมวันที่ 8 สิงหาคม เวลา 09.30 น. โดยมีวาระพิจารณาสำคัญ คือ เรื่องการได้มาซึ่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ โดยได้เชิญ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และนายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อํานวยการสํานักนวัตกรรม เพื่อประชาธิปไตยเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ต้องจับตาว่า กมธ.จะรับคำร้องของนายเรืองไกร เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในวันดังกล่าวหรือไม่.