‘ไอติม’ รอดู พท.ขอขมา ขออย่าเพิ่งสรุป ‘ปดิพัทธ์’ ลาออกรอง ปธ.สภาฯ
‘ไอติม’ รอดู ‘เพื่อไทย’ เตรียมขอขมา ‘ก้าวไกล’ หวังช่วยเสียงโหวตนายกฯ ย้ำพรรคส้มอุดมการณ์ชัดเจนมาตลอด ชี้รัฐบาลที่ตอบโจทย์สุดต้องสะท้อนจากผลเลือกตั้ง 66 ลั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเราในการจัดตั้งรัฐบาล ขออย่าเพิ่งด่วนสรุป ‘ปดิพัทธ์’ ลาออกรองประธานสภาฯ
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และผู้จัดการการสื่อสารและรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะนัดหารือกับพรรคก้าวไกล เพื่อขอโทษ รวมถึงจะขอการสนับสนุนจากพรรคก้าวไกลให้ยกมือโหวตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ว่า ไม่ได้ทราบล่วงหน้ามาก่อน เป็นข้อมูลที่เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนในขณะนี้ ส่วนท่าทีของพรรคก้าวไกลจะเป็นอย่างไรนั้น จะให้คณะผู้เจรจาของพรรคที่รู้ข้อมูลครบถ้วนมาชี้แจง ส่วนถ้าพรรคเพื่อไทยจะมาขอโทษนั้น คิดว่าตนได้แสดงความเห็นไว้ชัดเจนแล้วว่า รอดูจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคมากกว่าที่จะแถลงความเห็นส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุม สส.พรรคก้าวไกลเมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) สส.ส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ กรณีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดคุยวาระในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นวาระที่จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้(9 ส.ค.) และการผลักดันร่างกฎหมาย
ส่วนกรณีเรื่องตำแหน่ง นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 จะต้องมีการลาออกหรือไม่ หากจะรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าย นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปแบบนั้น ข้อกฎหมายที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เราทราบดีอยู่แล้ว ตนคิดว่า เป็นการพูดคุยที่ต้องเกิดขึ้น หากถึงวันนั้นค่อยมาคุยกัน แต่ต้องรอดูท่าทีที่ชัดเจนว่า รัฐบาลใหม่จะประกอบด้วยพรรคอะไรบ้าง นายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร จะขับเคลื่อนวาระ มีความชัดเจนตรงนี้หรือไม่ ถึงจะมาพูดคุยกัน
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าต้องการสลายขั้ว และก้าวไกลก็เป็นหนึ่งในนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า คิดว่าจุดยืนพรรคก้าวไกลชัดเจนมาตลอดว่า ในวันที่ 14 พ.ค. ได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง 8 พรรคการเมืองที่ได้เซ็น MOU ร่วมกันหลังจากผลการเลือกตั้งปรากฏออกมา เพราะฉะนั้น เรายังยืนยันว่าพันธมิตรจาก 8 พรรคเดิม เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
เมื่อถามว่า คิดว่าสลายขั้วได้ง่ายขนาดนั้นหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อย่างที่ตนบอกว่า เราคิดว่าตอบโจทย์ประเทศและเป็นไปตามมติประชาชน ที่เคารพเสียงประชาชน คือพันธมิตร 8 พรรค
เมื่อถามย้ำว่า จะสลายไม่ได้เลยใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลเราชัดเจนมาตลอดว่า มีความประสงค์ที่จะให้การจัดตั้งรัฐบาล นอกจาก 8 พรรคที่เซ็น MOU อยู่ร่วมกัน พรรคก้าวไกลไม่เคยแสดงท่าทีที่จะนำไปสู่การแบ่ง 8 พรรคแยกออกจากกัน
นายพริษฐ์ กล่าวถึงรัฐบาลพิเศษว่า ตนคิดว่ารัฐบาลที่ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด น่าจะเป็นรัฐบาลที่เป็นไปตามผลการเลือกตั้ง ซึ่งในเมื่อพรรคที่ได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งตามครรลองประชาธิปไตย สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร และพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน 8 พรรคมาร่วมรัฐบาลก็จะเป็นเสถียรภาพ ยังยืนยันคำเดิมว่ารัฐบาลที่ตอบโจทย์ในอนาคตของประเทศและเป็นทางออกให้ประชาธิปไตยคือ 8 พรรคการเมือง
เมื่อถามถึงการที่พรรคเพื่อไทยเตรียมขอขมา นายพริษฐ์ ยิ้มก่อนกล่าวว่า ต้องรอดูบทสนทนา ว่าข้อมูลล่าสุดเป็นอย่างไร ต้องให้คณะเจรจาที่มีบทบาทความรับผิดชอบ ในการพูดคุยกับพรรคการเมืองให้ข้อมูลดีกว่า ตนไม่มีข้อมูลครบถ้วน พร้อม ย้ำว่า พอไม่มีข้อมูลครบถ้วน ก็ไม่รู้ว่าจะหวังหรือไม่หวัง หรืออะไร
เมื่อถามว่า มองว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล ยังเป็นรูปแบบการเมืองแบบเก่าอยู่หรือไม่ เพราะอีกฝั่งพยายามเสนอว่า การเมืองแบบใหม่คือไม่มีฝ่ายค้าน ทุกคนสามารถเป็นรัฐบาล นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการคือการเมืองแบบปกติ ซึ่งในกติกาปกติ การเลือกนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งรัฐบาล เป็นไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร 500 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะฉะนั้น เรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยังดำรงอยู่ สว. 250 คน มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้รัฐบาลต้องเผชิญความท้าทาย
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องการยืนยันว่า อยากเห็นประชาธิปไตยแบบปกติ คือเราต้องไม่ปล่อยอำนาจของ สว.ในการเลือกนายกฯ ตามมาตรา 272 เข้ามาแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการแทรกแซงในลักษณะใช้อำนาจ มีสองวิธีหลัก คือ การแทรกแซงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย อีกวิธีเป็นการแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากสูตรพิสดาร เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจจะมีเสียงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่เป็นการผสมผสานของพรรคการเมืองที่ถูกบีบจาก สว.ให้มารวมตัวกัน ไม่ได้ยึดโยงกับผลการเลือกตั้ง หรืออุดมการณ์ของแต่ละพรรค เพราะฉะนั้นจุดยืนของก้าวไกล ตนคิดว่าอย่าปล่อยให้อำนาจ สว. มาแทรกแซงกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลตามที่จะเป็นไปตามปกติ
เมื่อถามว่า หากท้ายที่สุดพรรคก้าวไกลถูกบีบให้เป็นพรรคฝ่ายค้าน โดดเดี่ยวพรรคเดียว แต่พรรคอื่นไปตั้งรัฐบาลพิเศษ เพื่อผลประโยชน์หรือการต่อรองใดๆ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คิดว่าพรรคก้าวไกลชัดเจนมาโดยตลอดว่า ภารกิจและเป้าหมายสำคัญสูงสุดของพรรคก้าวไกล คือการสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้ตอบโจทย์กับคนทั้งประเทศ ในเมื่อเป้าหมายสูงสุดของเรา คือการสร้างการเปลี่ยนแปลง เราตระหนักดีว่า เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ก็ต้องมีอำนาจรัฐ เป็นรัฐบาลเข้าไปขับเคลื่อนนโยบาย และยิ่งเราได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ตนคิดว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเรา ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หากการได้มาซึ่งอำนาจ ต้องแลกกลับมาด้วยอะไรที่ทำไม่ดี ต้องถามว่าเราจะทำแบบนั้นทำไม