‘ชูวิทย์’ชี้โจรใส่สูทปล้นให้กู้1,000 ล้านผิดคน แม่บ้าน-รปภ.ไม่รู้เรื่อง
‘ชูวิทย์’ขยี้ปมนอมินีชี้โจรใส่สูทปล้นให้กู้1,000 ล้านผิดคน แม่บ้าน-รปภ.ไม่รู้เรื่องด้วย เป็นอาชญากรรมเศรษฐกิจ ฟ้องเศรษฐาข้อหาฟ้องเท็จ
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โจรใส่สูทปล้นให้กู้ 1,000 ล้าน ผิดคน ความจริงปรากฎ แม่บ้านแจ้งความแล้ว ถูกสวมบัตรประชาชน มีรปภ.เซ็นทำนิติกรรมสำนักงานที่ดิน พร้อมระบุว่าจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในข้อหาฟ้องเท็จ ที่ศาลอาญา ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายเป็นคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
โจรใส่สูทปล้น "ให้กู้ 1,000 ล้านผิดคน"
ความจริงเริ่มปรากฏ
เพียงแค่ไม่ถึงวัน แม่บ้าน ที่ผมเอาขึ้นมาแสดงว่าเป็น "นอมินี" ใน บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่มีหุ้นถึง 99.998% คู่กับ รปภ.
ออกมาแสดงตัวว่า "ไม่ได้เกี่ยวข้อง" โดยไปแจ้งความที่ สภ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม
ทั้งที่มีชื่อ มีบัตรประชาชน และได้รับเงินกู้จากบริษัทลูกของแสนสิริ เป็นจำนวนสูงถึง 1,000 ล้านบาท
อันแสดงว่า "ถูกสวมบัตรประชาชน" เพื่อไปกู้เงิน เพราะในวันที่รับเงินกู้ 1,000 ล้านบาท มีการดำเนินการโดยนายสมศักดิ์ ที่เป็นกรรมการคู่กัน
และปรากฏว่า รปภ. เป็นผู้เซ็นชื่อทำนิติกรรมที่สำนักงานที่ดินด้วยตัวเอง (ยังไม่รู้ว่าตัวปลอมอีกหรือเปล่า!)
งานนี้แสนสิริที่เป็นบริษัทมหาชน และบริษัทลูก มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และการซื้อขายที่ดินเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ตรวจสอบ หรือ "แกล้งไม่ได้ตรวจสอบ"?
เพราะเป็นคนนำเช็คเงินกู้จำนวนถึง 1,000 ล้าน ไปให้กับใคร? เข้าบัญชีใคร?
เงินจำนวนไม่น้อย จะอ้างว่าไม่ทราบคงไม่ได้ จะตะแบงอย่างไรความจริงก็จะปรากฏ
ในเมื่อเจ้าของบริษัทออกมาบอกว่า ไม่ใช่ตัวเอง และยืนยันไม่รู้เรื่อง
อย่างนี้มืออาชีพหรือเปล่า?
โดยวันนี้เวลาบ่ายโมง ผมจะไปฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน ข้อหาฟ้องเท็จ ที่ศาลอาญารัชดา
และในฐานะประชาชนผู้ถือหุ้นแสนสิริจำนวน 20,000 หุ้น ได้รับความเสียหายจากการกระทำของแสนสิริ
ผมจะไปแจ้งความที่ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ในวันพฤหัส 10 โมงเช้า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นี่เป็น "นิติกรรมอำพราง" อย่างสมบูรณ์แบบ
สวมบัตร ซื้อบริษัท รับโอนหุ้น กู้เงิน 1,000 ล้าน รับเช็คเงินกู้ และจ่ายคืนให้ธนาคาร
นำเงินกู้ที่เหลือไปขายที่ดิน (ใจกลางทองหล่อ) ให้
และโอนหุ้นตัดตอนให้อีกคน
โดยหลังจากนั้น ไม่ส่งงบติดต่อกัน 5 ปี จนกลายเป็นบริษัทร้างในที่สุด
โดยผู้เป็น "เจ้าของบริษัท" มีหุ้น 99.998% ที่ทำนิติกรรมกับ บ.แสนสิริ บ้านอยู่มหาสารคามบอก "ไม่รู้เรื่องเลย"
ที่นี่ไม่ใช่ที่ดินแปลงแรกที่เกิดขึ้น กระบวนการ "ปั่นค่าที่ บวมเงินมัดจำ ตัดตอนบริษัท" ตามที่
ผมแฉนั้นยังมีอีกหลายแปลงใจกลางสุขุมวิท
ล้วนมีมูลค่ามหาศาล และใช้รูปแบบเหมือนกัน
โดยผมจะนำเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไป ก่อนจะมีการโหวตนายกฯ
หากผมเป็นบริษัทแสนสิริคงกลุ้มใจตาย เพราะคู่สัญญา หรือคนที่ถูกอ้างชื่อเป็นเจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น บอกไม่รู้เรื่อง ไปแจ้งความแล้ว
ถ้าแสนสิริไม่ไปแจ้งความบ้าง ว่าตัวเองให้เงินกู้ 1,000 ล้าน ผิดคน คงผิดปกติ
งานนี้หากผมไม่แฉ ก็คงแกล้งโง่ไปอีกนาน
นี่เป็นกระบวนการ "อาชญากรรมเศรษฐกิจ" ของแท้